HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 15/01/2561 ]
สธ.ห่วง เด็กชั้นประถม สมาธิสั้นกว่า1ล้านคน

กรุงเทพธุรกิจ สธ.ห่วง "เด็กประถมวัย" ช่วง 6-12 ปีป่วย"สมาธิสั้นราว1ล้านคน"ครึ่งหนึ่งมีปัญหาสุขภาพจิต แนะครู-ผู้ปกครอง-แพทย์ร่วมมือแก้ปัญหา พร้อมเผย5วิธีดูแลเด็ก ชี้พันธุกรรมมีผล 80-85% อนาคตเสี่ยงมีพฤติกรรมก้าวร้าวใช้ความรุนแรง
          น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มเด็กที่พบมากที่สุดในวัยเด็กและน่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder :ADHD) หรือที่เรียกว่าโรคไฮเปอร์ โรคนี้เป็น โรคทางจิตเวชเกิดจากภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมอง ทำให้เด็กเกิดความผิดปกติที่สำคัญ3ด้าน คือ มีช่วงสมาธิสั้นกว่าปกติ (Inattention)มีความสนใจต่ำ ซุกซนอยู่ไม่นิ่งหรือซนผิดปกติ (hyperactivity) และพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น (Impulsivity) อาการมักเกิดก่อนอายุ7ขวบและต่อเนื่องติดต่อกันนานกว่า6เดือน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่ต้น จะกลายเป็นปัญหาระยะยาวส่งผลต่อพัฒนาการในด้านลบไปจนถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เช่น ต่อต้านสังคม เกเร ใช้ความรุนแรงต่อคนอื่น ติดยาเสพติด และเกิดภาวะซึมเศร้า เป็นต้น
          ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตล่าสุดในปี2555พบเด็กวัยประถมศึกษาอายุ6-12ปีมีอัตราป่วยโรคสมาธิสั้น 8.1% หรือมีประมาณ1ล้านคน ผู้ชายพบ 12% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่พบ 10%  และป่วยมากกว่าผู้หญิงในอัตรา3ต่อ1พบอัตราป่วยสูงสุดในภาคใต้ 11.7% รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9.4% และภาคกลาง 6.7%
          ทั้งนี้กรมสุขภาพจิตได้เร่งพัฒนาระบบบริการ โดยให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการรักษาโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สร้างนวัตกรรมบริการ เพื่อให้เด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้น ทุกพื้นที่ได้รับการดูแลทั่วถึงและต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพที่สุด
          แนะครู-ผู้ปกครอง-แพทย์ร่วมมือ
          ด้านพญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ราชนครินทร์ กทม.กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาเด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทั้งครอบครัว โรงเรียนและโรงพยาบาล ขณะนี้สถาบันฯได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เขตสุขภาพที่4 โรงพยาบาลสวนปรุง โรงพยาบาลยุวประสาท ไวทโยปถัมภ์ สถาบันพัฒนาการเด็ก ราชนครินทร์จ.เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีและสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือและแทบเล็ต ใช้ช่วยติดตามการดูแลเด็กวัยเรียนที่ป่วยโรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการร่วมระหว่าง ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง3ฝ่ายคือ ครู ผู้ปกครองและบุคลากรทางการแพทย์
          แอพพลิเคชั่นนี้ มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่1.ความรู้เรื่องโรค2.การประเมินลักษณะอาการเด็กด้วยแบบมาตรฐานของกรมสุขภาพจิต3.การติดตามผลความก้าวหน้าของ เด็กสมาธิสั้นทั้งการเรียนและพฤติกรรม และ4.การประเมินความเครียดครู พ่อแม่ แอพฯนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถจัดการแบบแผนชีวิตของเด็กโดยเฉพาะชีวิตประจำวัน ได้ถูกต้อง สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกทุกพื้นที่ตลอด24ชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของครู ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข คาดว่าจะทดลองใช้ในเดือนเม.ย. 2561นี้ และจะปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพก่อนขยายผลใช้ทั่วประเทศต่อไปโดยเร็ว
          เผย5ข้อดูแลพฤติกรรมเด็ก
          สำหรับการดูแลเด็กวัยเรียนโรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการ ประกอบด้วย5องค์ประกอบหลัก ได้แก่1.การคัดกรองอาการของโรคสมาธิสั้นโดยผู้ปกครองและครู 2.การปรับพฤติกรรมโดยผู้ปกครองที่บ้าน 3.การปรับพฤติกรรมและการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมโดยครูที่โรงเรียน 4.การประเมินอาการและการรักษาโดยผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาล และ 5.การส่งต่อติดตามโดยครูเป็นผู้จัดการ (case manager) จะทำให้เด็กได้รับการดูแลต่อเนื่อง และการปรับพฤติกรรมของเด็ก โดยลดพฤติกรรมเสียเพิ่มพฤติกรรมดีอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เริ่มทำทีละน้อย ทำมากกว่าพูด ชมเชยเมื่อทำดี เด็กส่วนหนึ่งประมาณ30%เมื่อผ่านวัยรุ่นอาการจะหายเอง ไม่ต้องกินยา ที่เหลือ ยังมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จะควบคุมตัวเอง ดีขึ้น เรียนหรือทำงานได้เหมือนคนทั่วไป
          ทั้งนี้ สาเหตุของการเกิดโรคนี้ เชื่อว่า เกิดจากพันธุกรรม80-85%และยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้คือ การได้รับ สารตะกั่ว สารฆ่าแมลง รวมถึงมารดาที่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดสารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถทำลายการเจริญเติบโตสมองของเด็กได้ หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย รักษาและปรับพฤติกรรมอย่างถูกต้องตั้งแต่มีอาการแรกเริ่ม เด็กสมาธิสั้นมีโอกาสจะไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียน หรือเกิดการบาดเจ็บจากเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่า เด็กปกติ มีโอกาสกลายเป็นเด็กเกเร ต่อต้านสังคมหลังอายุ16ปีสูงกว่าเด็กปกติ3-4เท่าตัว และเด็กกลุ่มนี้หากถูกทำโทษบ่อยๆ หรือถูกลงโทษอย่างรุนแรง จะมีอาการ ซึมเศร้า ทำร้ายตัวเอง เมื่อโตขึ้นมีแนวโน้ม ใช้พฤติกรรมก้าวร้าวคนอื่นเช่นทุบตี ทำร้าย คู่สมรส ใช้ความรุนแรงในครอบครัว การดูแลรักษาจึงเป็นการป้องกันปัญหาสังคมนี้ด้วย


pageview  1205067    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved