เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินว่าที่ผ่านมา แม้มีกรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นจริง แต่หลายครั้งเมื่อมีการพิสูจน์ว่าผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือกรณีสีแดงจริง ก็จะมีการเจรจาหารือกับทางโรงพยาบาลเอกชน เพื่อไม่ให้เก็บค่ารักษากับทางผู้ป่วย แต่อย่าลืมว่าที่ผ่านมาเป็นเรื่องความสมัครใจ ไม่มีกฎหมายบังคับ แต่ล่าสุดอยู่ระหว่างจัดทำกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้โรงพยาบาลทุกแห่งต้องรับรักษาผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินให้พ้นวิกฤตภายใน 72 ชั่วโมงต้องไม่เรียกเก็บค่ารักษา โดยให้ตั้งเบิกกับภาครัฐ จะมีกองทุนสุขภาพของแต่ละสิทธิเป็นผู้จ่าย หากละเมิดจะมีความผิดทันที คาดว่าประกาศใช้เดือนเมษายนนี้ ทันเทศกาลสงกรานต์
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ระบุถึงเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ดีทุกสิทธิ กรณีการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนนอกคู่สัญญา 3 กองทุน โดยผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ได้แก่ บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยกะทันหัน มีภาวะคุกคามต่อชีวิต หากไม่ได้รับปฏิบัติการแพทย์ทันทีเพื่อแก้ไขระบบการหายใจ ระบบไหลเวียนเลือดหรือระบบประสาทแล้ว ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตได้สูง หรือทำให้การบาดเจ็บหรืออาการป่วยของผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น รุนแรงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อย่างฉับไว นพ.ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองเลขาธิการ สพฉ.กล่าวถึงการรายงานตัวเลขรับแจ้งเหตุสายด่วน 1669 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ตรงกับกรณีเพื่อนอดีตนักบอลทีมชาติที่เสียชีวิต แจ้งขอความช่วยเหลือ คลาดเคลื่อนไป 5 นาที ว่าการรายงานครั้งแรกระบุว่า เวลารับแจ้งเหตุคือเวลา 17.23 น. นั้น เป็นเวลาที่ สธ.ประสานเช็กจากศูนย์รับแจ้งเหตุรพ.พระนั่งเกล้า ไม่ใช่ สพฉ.ไม่แน่ใจว่าเหตุใดจึงมีการรายงานว่าเป็นเวลาดังกล่าว แต่ยืนยันว่าการประสานนำข้อมูลมาชี้แจงนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่มาจาก สพฉ. ส่วนกรณีการประสานข้อมูลเวลาโทรศัพท์ของเพื่อนผู้เสียชีวิตกับคู่สายนั้น สพฉ.เป็นผู้ประสานจนทราบว่าเป็นเวลา 17.18 น.จริง การประสานนำข้อมูลรับแจ้งเหตุของศูนย์รับแจ้งเหตุจากโรงพยาบาลต่างๆ นั้น ปกติ สธ.จะเป็นผู้ประสานนำข้อมูลจากโรงพยาบาลมาให้ สพฉ.ส่วนเรื่องการพัฒนาระบบของสายด่วน 1669 นั้น ยังต้องศึกษารายละเอียด