HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 22/03/2555 ]
พิษซูโดเด้ง 2 ผอ.รพ.3เภสัช รวบ'ร.ต.ท.'อมยาบ้า3แสนเม็ด-ไอซ์5กก.อ้างเหตุไม่รายงาน-รอขยายผล

          'เฉลิม'เล็งชง'ซูโดอีเฟดรีน'สารตั้งต้นยาเสพติดหายเป็นคดีพิเศษ สั่งดีเอสไอลุยปราบ 'ปลัด สธ.'แจงผลสอบชัด 3 โรงพยาบาลเอี่ยว สั่ง 2 ผอ.รพ.3 เภสัชกรช่วยงานส่วนกลาง
          เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบโรงพยาบาล (รพ.) ที่มีการสั่งซื้อหรือเบิกจ่ายยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเข้าข่ายผิดปกติ ว่า จากการตรวจสอบมีรายงานผลชัดเจนแล้ว 3 แห่ง คือ รพ.ศูนย์อุดรธานี จ.อุดรธานีรพ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ และ รพ.กมลาไสยจ.กาฬสินธุ์ โดยมีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 คน แบ่งเป็น 1 รพ.ศูนย์อุดรธานี เป็น เภสัชกร 1 ราย แต่ได้หลบหนีไป ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามตัว 2.รพ.ทองแสนขัน ทางจังหวัดสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่ามีมูลความผิดจริง 2 ราย คือ เภสัชกร ผู้ดำเนินการและผู้อำนวยการโรงพยาบาล และ 3.รพ.กมลาไสย ทางจังหวัดสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีมูลความผิด 2 ราย คือ เภสัชกร ผู้ดำเนินการ และผู้อำนวยการโรงพยาบาล
          นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า บุคคลทั้งหมดจะถูกเรียกเข้ามาทำงานที่ส่วนกลางเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม เป็นต้นไป เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการสอบสวนทางวินัย ส่วน รพ.ดอยหล่อจ.เชียงใหม่ อยู่ระหว่างสอบสวนคาดว่าจะทราบผลในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม การสอบสวนวินัยนั้นทางกระทรวง แต่งตั้ง นพ.ทวีเกียรติ บุญยไพศาลเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานสอบสวน กรณี รพ.กมลาไสย จะมีทั้งวินัยร้ายแรงในส่วนของเภสัชกร และวินัยไม่ร้ายแรงในส่วนของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่วนที่รพ.ทองแสนขัน จากรายงานของทางจังหวัดมีการตรวจสอบชัดเจนว่าทั้งเภสัชกร และผู้อำนวยการโรงพยาบาล มีความผิดทางวินัยทั้งคู่ เรื่องนี้กระทรวงกำลังพิจารณาว่าจะยืนยันผลการสอบดังกล่าว หรือต้องตั้งกรรมการตรวจสอบซ้ำ อยู่ระหว่างรอการพิจารณา แต่ทั้งหมดจะต้องมีการสอบสวนทางวินัยจนได้ข้อสรุปภายใน 30 วัน
          "หากผลการสอบสวนทางวินัยแล้วเสร็จ จะแบ่งออกเป็นโทษวินัยร้ายแรง และวินัยไม่ร้ายแรงโดยโทษวินัยร้ายแรงนั้น ถึงขั้นปลดออก ให้ออกไล่ออก ส่วนโทษวินัยไม่ร้ายแรง จะมีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน และลดเงินเดือนซึ่งตรงนี้ต้องรอผลการสอบวินัยให้ชัดเจนก่อน"นพ.ไพจิตร์กล่าว
          เมื่อถามว่า กรณีที่เกิดขึ้นส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์กระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า กระทรวงมีบุคลากรสาธารณสุข รวม320,000 คน เป็นแพทย์ประมาณ 10,000 คน เป็นเภสัชกรประมาณ 4,000 คน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่คนหมู่มาก เป็นเพียงส่วนน้อย และในส่วนของโรงพยาบาลอื่นๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนเกี่ยวข้องประมาณ 30 แห่งนั้นขณะนี้มีข้อมูลหมดแล้วแต่หากบอกไปจะส่งผลต่อการสอบสวนได้
          นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการควบคุมการเบิก และการสั่งจ่ายยาแก้ไข้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน ป้องกันมิให้มีการเบิกจ่ายยาเพื่อนำไปทำเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ว่า จากการหารือของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กำลังอยู่ในขั้นตอนขอความเห็นไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ถ้ายาซูโดอีเฟดรีน มีผลกระทบต่อจิตประสาท จะทำให้มีการควบคุมการเบิกจ่ายเข้มงวดขึ้น โดยจะมีการทำบัญชีว่าถ้าใครจะสั่งหรือจ่ายยา ก็ให้มีการควบคุมโดยใช้บัตรประชาชนลงทะเบียนในการเบิกด้วย ซึ่งจะทำให้ทราบที่มา ที่ไปว่ายาไปอยู่ที่ใคร ซึ่งขณะนี้กำลังพยายามปิดช่องว่างตรงนี้อยู่ "ขณะนี้ผมสั่งระงับการสั่งจ่ายและการขายยาชั่วคราว จนกว่ากฤษฎีกาจะมีความเห็นมาและกระทรวงสาธารณสุขประกาศ ถึงจะสามารถควบคุมได้ ขณะนี้ที่พบอยู่ตามโรงพยาบาลนั้น 30 กว่าแห่ง ตรวจสอบแล้วค่อนข้างจะมีความผิดชัดเจน 5 แห่ง ส่วนใหญ่จะเป็นภาคอีสานและภาคเหนือ" นายวิทยากล่าว
          ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางการควบคุมสารซูโดอีเฟดรีนในยาแก้แพ้แอคติเฟต ว่า หากเป็นการขายปกติไม่มีปัญหา การนำเข้ามายังโรงงานผลิต ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คุมได้ พอผลิตเสร็จไปถึงโรงพยาบาลก็คุมได้ แต่จากโรงพยาบาลมีการขาย ยักยอก และนำออกไปเป็นสารตั้งต้นใน
          การผลิตยาเสพติด ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา ตนได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งท่านได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)มาสอบสวนเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าสกัดเรื่องนี้ไม่ได้จะแก้ปัญหายาเสพติดลำบาก
          เมื่อถามว่า เป็นไปได้แค่ไหนที่จะดำเนินคดีกับแพทย์หรือเภสัชที่ลักลอบนำยาดังกล่าวไปขายร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ทางดีเอสไอจะขอเรื่องนี้ให้เป็นคดีพิเศษ โดยตนจะอนุมัติในที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อให้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ หากพบการกระทำผิดให้จับทันทีมั่นใจว่าคุมได้แน่นอน
          นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่าในวันที่ 26 มีนาคม ดีเอสไอจะเสนอคดีซูโด อีเฟดรีนหายจากโรงพยาบาลจำนวนมากต่อที่ประชุม กคพ. เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากคดีมีความสลับซับซ้อน ทำเป็นเครือข่าย ขณะนี้มี
          ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2551-8 กรกฎาคม 2554 มีการจับกุมยาแก้หวัดที่ลักลอบออกจากระบบ 44.49 ล้านเม็ด แต่คาดว่ายอดแท้จริงต้องสูงกว่าปริมาณที่จับกุมอีกมาก
          นายธาริตกล่าวว่า สำนักงาน อย.ได้รายงานว่าพบความผิดปกติในการสั่งซื้อ-เบิกยา ประเภทซูโดอีเฟดรีน จากโรงพยาบาล 22 แห่ง หลังรับเป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอมีอำนาจเข้าไปสอบสวนได้
          อย่างเต็มรูปแบบ จะเริ่มตรวจสอบแบบปูพรมโรงพยาบาลต้องสงสัยทั้ง 22 แห่ง
          ที่ สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พ.ต.ท.สะอาดสุนทร ผอ.ส่วนคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ 3 หรือ ดีเอสไอ เข้ารับฟังข้อมูลการสอบสวนคดียาซูโดอีเฟดรีน หายจากโรงพยาบาลกมลาไสย จาก พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ.กมลาไสย โดย พ.ต.ท.สะอาดกล่าวว่า จำนวนยาซูโดอีเฟดรีน ที่หายจากโรงพยาบาลแห่งนี้
          มีความเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลดอยหล่อ และที่อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เนื่องจากมีระบบการสั่งซื้อคล้ายกัน ทำให้เชื่อว่าสารตั้งต้นยาซูโดอีเฟดรีนที่หายไป จะถูกนำไปผลิตยาเสพติด และขณะนี้ดีเอสไออยู่ในขั้นตอนรวบรวมหลักฐานและสืบหาต้นตอของแหล่งรับซื้อยา
          ด้าน พล.ต.ต.คณิสร น้อยนารถ ผบก.ภ.จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.ท.วิเชียรพินดวง รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ หัวหน้าชุด
          คลี่คลายคดีว่าในวันที่ 21 มีนาคม จะมีผู้ต้องสงสัยที่สั่งซื้อยาจากเภสัชกรโรงพยาบาลกมลาไสย ไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ส่วนการสอบสวนด้านพยานเอกสาร มีผู้ต้องสงสัยจะตกเป็นผู้ต้องหาอย่างน้อย 3-5 คน เพราะมีหลักฐานการยักยอกยาออกจากโรงพยาบาล ส่วนยาเกือบทั้งหมดที่หายไปถูกนำส่งไปขายให้อดีตเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกมลาไสยในจังหวัดร้อยเอ็ด
          ส่วน พ.ต.อ.โกวิท เจริญวัฒนศักดิ์ ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี กล่าวว่า นางรจนา ทองคำ อายุ 22 ปี เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก เพราะมีชื่อปรากฏเป็นผู้ส่งพัสดุมากกว่า 10 ครั้งระบุที่กล่องเป็นอาหารเสริม ซึ่งตำรวจเชียงใหม่ตรวจพบ
          ในบ้านแหล่งเก็บและรวบรวมยาซูโดอีเฟดรีนโดยนางรจนาปฏิเสธ และไม่รู้จักนายสมชาย แซ่โค้ว อายุ 41 ปี เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลอุดรธานี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานีข้อหายักยอกยาซูโดอีเฟดรีน 140,000 เม็ด เบื้องต้นตำรวจยังไม่แจ้งข้อกล่าวหานางรจนา โดยจะรวบรวมหลักฐาน หากพบว่ามีความผิดจริง จะแจ้งข้อหาเช่นเดียวกับนายสมชายคือร่วมและสมคบในการยักยอก และจำหน่ายยาซูโดอีเฟดรีน
          วันเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ร่วมกันสอบสวนร.ต.ท. สังกัด บก.น.3 พร้อมลูกน้องชั้นประทวน3 นาย และพลเรือน 1 คน หลังถูกตำรวจ บช.ปส.จับกุมได้พร้อมของกลางยาบ้า 300,000 เม็ดยาไอซ์ 5 กิโลกรัม
          แหล่งข่าวแจ้งว่า สำหรับพฤติการณ์ของร.ต.ท. พร้อมลูกน้องคือจับกุมนักค้ายาเสพติดและพบของกลางยาบ้าจำนวนมากที่ย่านมีนบุรี จึงปล่อยตัวผู้ต้องหา 3 คนไปเพื่อนำยาเสพติดมาไว้ในครอบครองเป็นของตนเอง และไม่ได้รายงานการจับกุมต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากล โดยผู้บังคับบัญชาตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะนำไปจำหน่ายเอง จากการสอบสวนเบื้องต้นร.ต.ท. ให้การภาคเสธ โดยอ้างว่ากำลังอยู่ระหว่างขยายผลจับกุมยาเสพติด
          อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.วินัย และ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ที่บช.น. เวลา 10.00 น. วันที่ 21 มีนาคม
 


pageview  1205101    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved