ข่าวอื้อฉาว กรณีกระทรวงสาธารณสุขประสานงานจับกุม เภสัชกรรพ.อุดรธานี และ รพ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์  มีพฤติกรรมสั่งยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมสารซูโดอีเฟดรีน ที่อาจเป็นสารตั้งต้นผลิตยาบ้าได้ เฉพาะกรณีของ รพ.ทองแสนขัน มียอดสั่งซื้อยาจากบริษัทยา975,000 เม็ด แต่แจ้งยอดการสั่งซื้อเพียง 10,000 เม็ด คาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง และขยายผลผู้รับซื้อว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้างนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ยังได้เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเพิ่มเติม มีข้อมูลในลักษณะเดียวกันในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ได้มอบหมายให้ปลัด สธ. ไปตรวจสอบและยังมีชุดทำงานติดตามขยายผล โดยคาดว่าจะมีความคืบหน้าในสัปดาห์หน้า

          ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดตรวจสอบการใช้ยาดังกล่าวย้อนหลังไป 1 ปี หลังจากนั้นจะมีการประชุมผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศ เพื่อย้ำให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้ยาที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีน ขณะที่กรรมการสอบสวนใน

          พื้นที่ ซึ่งแต่งตั้งโดยนายแพทย์สาธารณสุข จ.อุตรดิตถ์ พบว่ายาได้จำหน่ายให้ร้านขายยาใน จ.อุตรดิตถ์ ไม่เกิน 5,000 เม็ด ร้านจังหวัดใกล้เคียง 20,000 เม็ด รพ.ทองแสนขันเอง 10,000 เม็ด รวมทั้งหมด 35,000 เม็ด มีส่วนต่างที่หายไปถึง 9 แสนเม็ดเศษ ขณะนี้ได้มีคำสั่งย้ายด่วนเภสัชกร 7 รพ.ดังกล่าว มาช่วยราชการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ และตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดเข้าไปมีส่วนร่วมหรือ

          เกี่ยวข้องบ้าง และยังได้ให้ รพ.ทุกแห่งในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ รายงานการสั่งซื้อยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนให้ทางสำนักงานสาธารณสุขได้ทราบภายในสัปดาห์นี้ หากปกปิดหรือรายงานเท็จ จะมีการตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัยทันที

          รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประกาศปราบปรามยาเสพติดเป็นนโยบายสำคัญ และมีผลงานการปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยประการหนึ่งของการกระทำผิดมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเองและข้าราชการที่รู้เห็นเป็นใจ แม้กระทั่งลงมือและให้การสนับสนุนยาเสพติด ก่อนหน้านี้ ได้เข้าตรวจค้นเรือนจำต่างๆ และพบว่าเรือนจำได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายยาเสพติด ผู้ต้องขังคดียาเสพติด มีโทรศัพท์มือถือไว้ประสานงาน ใช้วิธีการต่างๆ รวมถึงเครื่องบินเล็กส่งยาเสพติดเข้าเรือนจำกรณีเภสัชกรโรงพยาบาลของรัฐ เกี่ยวข้องกับการผลิตยาบ้าเสียเองจึงเป็นเรื่องใหญ่ ที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยถือว่า เป็นการกระทำผิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่าพลเมืองทั่วไป