HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 19/02/2555 ]
รักคือการเชื่อมต่อ สุขคือการกำหนดอนาคตตนเอง

         ทศพล ทรรศนกุลพันธ์   คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          เนื่องในโอกาสที่เดือนแห่งความรักเวียนมาถึง เดือนกุมภาพันธ์นี้มีวันสำคัญทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับประเด็น "ความรัก"ทั้งศาสนาคริสต์ และศาสนาพุทธ โดยในศาสนาคริสต์จะเป็นวันรำลึกถึง เซนต์วาเลนไทน์ ผู้อุทิศตนให้แก่มวลมนุษยชาติอันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ข้างวันมาฆบูชาของศาสนาพุทธก็กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระอรหันต์ 1,230 รูป ซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นผู้อุปสมบทด้วยพระองค์เองได้มารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย เสมือนการระลึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาผู้บรรลุธรรมและชี้ทางสว่างให้กับมวลชน
          ความรัก เป็น นามธรรมที่สามารถให้นิยามไปได้อย่างหลากหลาย และอาจครอบคลุมกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมต่างๆ มากมายและมีการวิพากษ์ความรักไว้ในหลากหลายทิศทางทั้งในด้านดีและด้านร้าย เช่น ความรักคือ การให้ การอภัย การเสียสละ หรืออีกฟากฝั่งก็อาจกล่าวว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ความรักทำให้คนตาบอด เป็นต้น สำหรับการพูดเรื่องความรักในทางโลกที่มนุษย์จำต้องใช้ชีวิตทางสังคมร่วมกับผู้อื่นข้าพเจ้าขอหยิบความรักในมิติทางสังคมด้านหนึ่งมากล่าวถึงในบทความนี้
          "ความรัก"ที่หลายคนคาดหวังมักเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับ "ความสุข"ซึ่งนิยามที่ข้าพเจ้านำมาวิเคราะห์สังคมไทยก็คือ นิยามของ จิลส์เดอเลิซ และ เฟลิกซ์ กัตตารี (อ้างอิงจาก ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, แนะนำสกุลความคิดหลังโครงสร้างนิยม, 2554) นักคิดทั้งสองคนเสนอนิยามของคำทั้งสองว่า"ความรัก คือการเชื่อมต่อ"ส่วน "ความสุข คือ การได้ใช้ชีวิตตามที่ตนปรารถนา"
          หากนำคำทั้งสองมาเทียบเคียงกับเรื่องกฎหมายกับสังคม จะเห็นว่า เป็นนิยามที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องการอยู่ร่วมกันในรัฐบนหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน บนพื้นฐานของสันติภาพ
          การเชื่อมต่อ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคน การได้ใช้ชีวิตตามที่ตนปรารถนา ก็คือการกำหนดอนาคตตนเอง การมีความรักและมีความสุขในเวลาเดียวกัน มนุษย์จึงต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น และยังสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ อย่างไรก็ดี เรื่องทั้งสองมีทั้งความสอดคล้องและขัดแย้งกันในตัวเอง
          หากใครเคยมีความรักความสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยเฉพาะคนที่ตนรัก จะพบว่าบ่อยครั้งเราไม่อาจกำหนดอนาคตตนเองได้ตามที่ใจปรารถนาอยู่เนืองๆ ยกตัวอย่าง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในชีวิตประจำวัน
          กลับกันในหลายกรณีความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความรักของผู้คนจำนวนไม่น้อย ก็สามารถผสานเป้าหมายทั้งสองเข้าหากันได้บนพื้นฐานของดุลยภาพในความสัมพันธ์
          เมื่อนำนิยามทั้งสองมาปรับใช้กับการเมืองเรื่อง "ความรัก"และ "ความสุข"ที่มีการพูดถึงถี่ยิ่งขึ้นในสังคมการเมืองไทยช่วงหลัง เราจะพบความผิดปกติบางอย่างที่ทำถูกทำให้กลายเป็นปกติในสังคมไทย
          เช่น การบังคับให้คนเลือกข้างที่รัก มักข้างที่ชัง และยังมีมาตรการบีบบังคับรูปแบบต่างๆตามมา ทั้งที่สังคมไทยมักพูดซ้ำๆ ว่า "คิดต่างแต่ไม่แตกแยก"แต่การบังคับให้เลือกรักย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในตัวเอง
          ความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นจากการอ้างความรักตามนิยามของข้างฝ่ายตน และทำร้ายจิตใจย่อมไม่ต่างจากความรักของคนเอาแต่ใจตัวเอง เหมือนคนรักที่บ้าคลั่งจำนวนมากที่บีบบังคับให้คนรักเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นไปตามที่ตนต้องการโดยไม่คำนึงถึงความปรารถนาของอีกฝ่าย
          หากบุคคลใดมีความรักที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ในสังคม ต้องการกำหนดอนาคตตนเองนอกกรอบที่สังคมนั้นตั้งไว้ ก็เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งความรักของบุคคลนั้นจะพบกับความผิดหวัง ทั้งที่เรากล่าวอย่างต่อเนื่องว่า ต้องผลักดันให้คนไทยคิดนอกกรอบและขับดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับคนอื่นประเทศอื่น
          ความคับแคบทางความคิดและความรู้สึกดังที่ครอบงำสังคมไทยอยู่นี้จึงมีผลไม่น้อยต่อการปิดกั้นโอกาสของนักคิดนักสร้างสรรค์ในสังคมไทย จึงไม่แปลกที่นักคิด นักสร้างสรรค์ชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังในต่างประเทศ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับหรือร้ายแรงกว่านั้นก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนนอก
          คนนอกที่ว่า ก็คือ นอกคอกของ "ความเป็นไทย"ที่เชื่อมโยงอยู่กับการแสดงออกอย่างล้นเหลือต่อความรักชาติ แต่มิพักต้องสนใจเรื่อง มนุษยธรรม หรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
          เรื่องเศร้าที่เคยเกิดกับมหากวีเอกที่เด็กแทบทุกคนรู้จักก็คือ การตายของ "อีสป" ที่เกิดจากการเล่านิทานที่แฝงข้อคิดย้อนแย้งถาก ถางผู้มีอำนาจและชนชั้นนำในสังคม จนสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ปกครองจนถูกคำสั่งให้จับโยนลงมาจากหน้าผาตายในท้ายที่สุด
          สิ่งที่เกิดร่วมสมัยในสังคมไทย คือ นักคิดนักเขียน นักเคลื่อนไหวที่พยายามสร้างสรรค์ประเด็นขับเคลื่อนทางสังคมซึ่งมีข้อเสนอแหลมคมเสียบตรงไปที่โครงสร้างของสังคมการเมืองไทยที่ไร้มาตรฐานว่าควรจะต้องปรับเสียใหม่ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยและธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน
          ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอ แก้ไขรัฐธรรมนูญการปรับปรุงกฎหมาย
          ขบวนการขับเคลื่อนสังคมเหล่านี้ต้องเผชิญกับกระบวนการเบียดขับให้กลายเป็นอื่นเช่น เปลี่ยนจากคนชาติไทย ให้เป็นคนชาติมั่วคนต่างด้าว ขับไล่ให้ออกจากประเทศ ล้วนแต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนจำนวนหนึ่งมองการขับเคลื่อนทางสังคมเหล่านั้นว่าเป็นการสั่นคลอน "ความเป็นไทย" ที่ฝ่ายอนุรักษ์ต้องการจะแช่แข็งไว้ให้นิ่งที่สุด
          นักจิตวิทยาและนักมานุษยวิทยาที่ทำงานด้านความสัมพันธ์ล้วนเสนอความคิดเห็นว่าในการรักษาความรักความสัมพันธ์ไว้ให้ยั่งยืนยาวนานนั้น ต้องมีการปรับเข้าหากัน
          หากนิยามความรักและความสุขในสังคมไทยยังถูกควบคุมให้หยุดนิ่งอยู่ ก็เห็นทีจะต้องอยู่แบบตัวใครตัวมันเพราะไม่สามารถผสานสัมพันธ์กันบนพื้นฐานของการยอมรับการกำหนดอนาคตตนเองอย่างแตกต่างหลากหลายของผู้อื่นในสังคม
          การปรับปรุงแก้ไขแม้ยากที่จะเปลี่ยนทันทีทันใด แต่อย่างน้อยๆ ช่วงที่กำลังเปลี่ยนผ่านก็ขอให้อดทนอดกลั้นรับฟังกันบ้างก็ยังดี

pageview  1205099    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved