เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) แถลงว่า ตามที่เกิดสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยส่วนใหญ่เกิดจากการบุกรุกพื้นที่ป่าและการเผาวัสดุทางการเกษตร หรือวัชพืช จนทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะที่ จ.ลำปางเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย ทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชน จึงสั่งการให้กองทัพภาคที่3 เร่งเข้าช่วยคลี่คลายสถานการณ์หมอกควันและแก้ปัญหาไฟป่า โดยขณะนี้กองทัพภาคที่3 ได้จัดตั้งกองบัญชาการเฉพาะกิจควบคุมไฟป่าและหมอกควัน ณ ค่ายพระปิ่นเกล้าอ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เพื่อแจ้งเตือนและประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งกำลังทหารเข้าช่วยดับไฟป่า โดยให้ความสำคัญในพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาไฟป่าและหมอกควันใน 9 จังหวัด ได้แก่เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูนเชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน และตาก โดยมีหน่วยทหารในแต่ละจังหวัดรับผิดชอบ ขณะเดียวกันกองทัพภาคที่ 3 ได้เตรียมชุดปฏิบัติการดับไฟป่า 100 ชุด พร้อมอุปกรณ์ และจัดชุดรณรงค์ขอความร่วมมือประชาชนละเว้นการเผา เพื่อลดหมอกควัน นอกจากนี้ ได้ส่งรถบรรทุกน้ำออกฉีดพ่นละอองน้ำในพื้นที่ชุมชน เพื่อสร้างความชุ่มชื้นในอากาศและลดการฟุ้งกระจายของควัน
ด้านนายบรรพต คันธเสน ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) เชียงใหม่ เปิดเผยว่าประเมินว่าสถานการณ์ปัญหาหมอกควันในจ.เชียงใหม่ น่าจะรุนแรงกว่าปี 2554 ที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) ในอากาศ ปี 2554 วัดค่าสูงสุดได้ที่ 70.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ปี 2555 วัดได้สูงถึง 179.38 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ค่าจุดความร้อน (Hot Spot) ที่คาดว่าเป็นการเผาในที่โล่งช่วงวันที่ 1 มกราคม-21 กุมภาพันธ์2554 เกิด Hot Spot รวม 159 จุด ขณะที่ปีนี้เกิด 349 จุด สูงกว่าเท่าตัว จึงอยากให้ประชาชนทุกพื้นที่งดการเผา และแจ้งเตือนไปยังกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะผู้สูงวัยและเด็กให้งดการออกกำลังกาย
ส่วนที่ จ.เชียงราย พบค่าฝุ่นละอองในอากาศอยู่ในระดับสูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และตามอำเภอชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ อ.แม่สาย มีค่าเกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าเกินค่าวิกฤต ส่งผลให้มีผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจไปเข้ารับการรักษาจำนวนมากขึ้นเท่าตัว จากเดิมวันละ 60-80 คน เพิ่มเป็นวันละเกือบ 200 คน