อุบัติเหตุบนท้องถนน ตามทฤษฏีย่อมเกิดมาจาก 3 ตัวการใหญ่ครับ คือ1."สภาพแวดล้อม"(ถนน, สภาพอากาศ เป็นต้น) 2."ยานพาหนะ" และ 3."คน"  โดยในสามตัวการนี้หากสิ่งไหนผิดพลาด บกพร่อง เหนือการควบคุมย่อมมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง
          เช่นคนขับร่างกายพร้อมมาก แข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าสภาพรถไม่ดี วิ่งไปเจอถนนแย่ๆ พร้อมฟ้าฝนไม่เป็นใจ ย่อมเกิดอุบัติเหตุได้  หรือทุกอย่างที่กล่าวมาอยู่ในภาพยอดเยี่ยมทั้งหมด แต่คนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ประมาท บกพร่อง ไร้สติ ก็มีโอกาสสร้างความเดือดร้อนให้เราเช่นกัน
          ตามสถิติของอุบัติเหตุ "คน" ถือเป็นตัวการหลัก เรียกว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้น 100 ครั้ง 90 ครั้ง มาจากความผิดพลาดของคน ซึ่งต้นเหตุใหญ่ที่เก็บสถิติกันมา คือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว หรือขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ใส่หมวกกันน็อก
          ปีนี้รัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามลดตัวเลขความเสียหายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือ 5 วันอันตราย (11-15 เม.ย. 60) ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพิ่งสรุปว่าปีนี้ มีอุบัติเหตุรวม 2,985 ครั้ง เพิ่มขึ้น 9.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนยอดคนตาย 283 ราย ลดลง 16.77%  ยอดบาดเจ็บ 3,087 ราย เพิ่มขึ้น 6.78%
          โดยสาเหตุมาจากเมาแล้วขับ คิดเป็น 44.83%  รองลงมาขับรถเร็ว 24.83%  ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ คิดเป็น 83.95% ขณะที่ปิกอัพ 7.13%
          .  ทุกอย่างยืนยันตามที่ทฤษฎี และตรงตามสถิติที่ผ่านๆมา
          ต้องยอมรับว่าเมืองไทย ขี่มอเตอร์ไซค์กันเยอะครับ ขาดความระมัดระวังก็มาก พอถึงช่วงเทศกาลต้องรวมกลุ่มสังสรรค์ ใกล้-ไกลไม่เกี่ยง ยิ่งถนนสายรอง เจ้าหน้าที่ควบคุมลำบาก
          สถาบันครอบครัวไม่ดูแลกันเอง ยากที่จะแก้ปัญหา เช่นเดียวสถาบันการศึกษาต้องปลูกฝังสร้างภูมิคุ้มกันเรื่อง วินัยจราจร ความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะเกิดอุบัติเหตุมาไม่ได้เดือดร้อนเพียงคนขับขี่เดียว
          คนออกกฎหมาย คนบังคับใช้กฎหมาย องค์กรทางสังคม ปัจจุบันก็พยายามคิดกันรอบด้าน ช่วยป้องปรามในทุกมิติอยู่แล้วครับ แต่จะให้สำเร็จในระยะยาวควรล้วงลงไปให้เข้มข้นถึงสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สร้างแนวคิด วิธีที่สอดคล้องกับกระทรวงต่างๆของรัฐบาล
          ปลูกจิตสำนึกกันตั้งแต่เด็กๆ แม้ลำบากในทางปฏิบัติและวัดผลสำเร็จในระยะเวลาอันสั้นได้ยาก แต่ก็ควรเริ่มตรงจุดนี้ละครับ