สาโรจน์ มณีรัตน์
ทุกครั้งที่มีโอกาสไปต่างจังหวัดผมมักจะหาจังหวะเจอะเจอเพื่อนเก่า ทั้งสมัยเรียนหนังสือด้วยกันที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร รวมถึงเพื่อนวิชาชีพบางส่วนที่เคยร่วมสังฆกรรมกันในโอกาสต่าง ๆ
ที่ตอนนี้ทุกคนล้วนต่างแยกย้ายเดินทางไปตามบาทวิถีของแต่ละคน
บางคนไปเป็นอาจารย์มหา'ลัยบางคนทำงานในระดับบริหารบางคนผันชีวิตไปเป็นนักเขียนยังดินแดนบ้านเกิด
ทุกคนที่มีโอกาสเจอกัน ต่างมีฐานานุรูปทางด้านฐานะ, ตำแหน่ง หรือตามสมควรของเหตุการณ์ ที่ล้วนต่างทำให้เขาเหล่านั้นต่างมีกาย วาจา และใจที่ดี
จนทำให้ผมรู้สึกว่า เป็นเพราะเขาเหล่านั้นมีโอกาสทำงานที่เขารักหรือ ถึงทำให้มีรูปภายนอกปรากฏเช่นนั้น หรือว่าเป็นเพราะเขาได้ทำงานยังบ้านเกิดทำงานใกล้กับคนที่เขารักและรักเขาหรือถึงทำให้เขาเหล่านั้นมีสภาพจิตใจที่ดี
คำตอบ คือน่าจะเป็นทุกอย่างเพราะนอกจากงาน คนรัก และสภาพแวดล้อมทางกายภาพของต่างจังหวัด ที่ต่างเอื้อให้เขาไม่ต้องเหนื่อยมากไปกับการเดินทาง หรือต้องแบกรับภาระทางสังคมที่มากเกินไป
เขายังมีมิตรภาพของสังคมชุมชนหล่อเลี้ยงจิตใจด้วย
ซึ่งต่างกับผม หรือต่างกับผู้คนอีกหลายคนที่ต้องผจญภัยอยู่ในเมืองหลวงที่ต้องผจญอยู่ท่ามกลางมลพิษ หรือต้องอยู่ในสังคมเปลือก หรือสังคมยื้อแย่ง
กระหายในความสำเร็จต้องการเป็นผู้ชนะหรือต้องการเป็นที่ยอมรับที่แม้จะต้องทำทุกอย่างในทางผิดมิชอบอย่างไรก็ตาม เขาเหล่านั้นไม่เคยตระหนักเลยว่า สิ่งที่กระทำอยู่ทุกวันแท้ที่จริงเป็นภาพลวงตา
เพราะการเดินทางของชีวิต ความสำเร็จ, การยอมรับ หรือการเป็นที่หนึ่งไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
"ความสุข" ต่างหากที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
ความสุขที่เกิดจากการทำงานที่ตัวเองรัก
ความสุขที่เกิดจากหมู่มวลมนุษย์ที่คบหากันอยู่ ที่ไม่เพียงจะแบ่งปันความสุขให้แก่กันและกัน หากเมื่อความสุขถูกความทุกข์มาเยือน หมู่มวลมนุษย์ที่คบหากันอยู่จะช่วยแบ่งปันให้โลกที่เคยหมองเศร้ากลายเป็นสดใสได้
ยิ้มได้ทั้งที่น้ำตาอาบแก้มใจเย็นได้ทั้ง ๆ ที่หัวใจกำลังเต้นแรงผ่านมาหลายปี ผมดำรงตนอยู่ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์มากมาย จนทำให้เกิดประสบการณ์ทางปัญญาที่สามารถแยกแยะประเภทของหมู่มวลมนุษย์ออกได้หลายส่วน
ถามว่า ผมใช้หลักการอะไร ?ผมใช้หลักการง่าย ๆ อย่างนี้ครับหนึ่งเมื่อเจอคนมีปัญญา ผมจะใช้ปัญญาสู้
สองเมื่อเจอคนแสดงตัวนักเลง ผมจะใช้ความเป็นนักเลงสู้
สามเมื่อเจอคนเล่ห์เหลี่ยม ผมจะใช้เล่ห์เหลี่ยมสู้
สี่ เมื่อเจอคนใช้กำลัง ผมจะใช้กำลังสู้ห้าเมื่อเจอคนถ่อมตน ผมจะใช้ความถ่อมตนของเราสู้
ถามว่า ใช้ได้จริง ๆ หรือ ในการแยกแยะหมู่มวลมนุษย์ออกเป็นส่วน ๆสำหรับคนอื่น ผมไม่ทราบ แต่สำหรับผมผมเชื่อเช่นนั้น แต่ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนด้วย ว่าจะใช้รูปแบบไหน และกิจกรรมเช่นใดในการแยกแยะเช่นนี้
ผมใช้กิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์และสร้างสรรค์เป็นชนวนที่ทำให้เกิดประสบการณ์
ผิดบ้าง ถูกบ้างแต่สุดท้าย เมื่อเวลาผ่านมา ผมบอกตัวเองได้ว่า มนุษย์แบบไหน เราเดินหน้าคบต่อ และมนุษย์แบบไหน เราควรถอยหลังไปให้ไกล
จนพอมีมนุษย์หยิบมือหนึ่งที่อยู่รายรอบตัวเรา
อยู่ไกลบ้าง ใกล้บ้างดังนั้น เมื่อทุกครั้งที่ผมมีโอกาสไปต่างจังหวัด ผมจึงหาจังหวะและเวลาเจอพวกเขาเหล่านั้นเสมอ ทางหนึ่ง เพื่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ
ทางหนึ่งเพื่อตอกย้ำความเป็นเพื่อนของเราที่ผ่านช่วงเหตุการณ์ต่าง ๆ มาด้วยกัน
ขณะที่อีกทางหนึ่งเพื่อชื่นชมในความสำเร็จของเขา แม้ตัวเราจะไม่ได้มีโอกาสเจอกัน แต่ทุกครั้งที่ได้ยินใครคนหนึ่งในมนุษย์แบบเราพูดถึง เขียนถึง เราจะเกิดความสุขโดยไม่รู้ตัว
เป็นความสุขที่เกิดจากข้างในเป็นความสุขที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราเพราะชีวิตนี้สั้นนักลองหยุดแสวงหา แล้วทบทวนตัวเองนาน ๆ สิ บางทีคุณอาจเข้าใจความต้องการของตัวเองบ้างก็ได้
...ว่าเราจะเลือกหาความสุขแบบไหน ?