Follow us      
  
  

กรุงเทพธุรกิจ [ วันที่ 18/08/2564 ]
โควิดแพร่คนใกล้ชิดติดในครอบครัว สธ.ห่วงเด็ก 12-18ปี ติดเชื้อเพิ่ม

  ทีมข่าวคุณภาพชีวิต qualitylife4444@gmail.com
          กรุงเทพธุรกิจขณะนี้การติดเชื้อ โควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นการติดจากคนใกล้ชิด  เพื่อนร่วมงาน และคนในครอบครัว โดย ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเราหรือคนรอบตัว ติดเชื้อหรือไม่ หลังแนวโน้มเด็กและวัยรุ่น 12-18 ปี เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น
          ดังนั้นทุกคนจึงต้องป้องกันตนเอง อย่างสูงสุด(Universal Prevention) โดยไม่ทำ กิจกรรมรวมกลุ่ม แยกรับประทานอาหาร คนเดียว ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นแม้ในบ้าน เพื่อลดโอกาสรับเชื้อ และแพร่เชื้อให้คนอื่น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ ขึ้นไป หรือกลุ่ม 60 ปีขึ้นไป ขอให้มารับการฉีด วัคซีนเพื่อลดความรุนแรงและเสียชีวิต
          ล่าสุดกรมควบคุมโรค  กระทรวง สาธารณสุข(สธ.) ชวนประชาชนป้องกัน ตนเองอย่างสูงสุด ทุกกิจกรรมเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น ลดการรับและแพร่เชื้อโควิด-19 พาผู้สูงอายุ 60 ปี กลุ่มโรคเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เข้ารับบริการฉีดวัคซีน "นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์"อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ในสัปดาห์นี้ กรมควบคุมโรคได้จัดสรรไฟเซอร์สำหรับกลุ่ม 608 เพิ่มจาก สัปดาห์ก่อนที่เน้นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อฉีดในเดือนส.ค.2564 จำนวน 645,000 โดส ใน 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
          ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และสมุทรสาคร รพ. หลายแห่งได้เริ่มฉีดแล้วเช่นสมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา คาดว่าทุกแห่งจะดำเนินการได้ในสัปดาห์นี้ โดยตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. เป็นต้นมา มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 24 ล้านโดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 18.3 ล้านคน (ความครอบคลุมร้อยละ 25.5) ครบ 2 เข็ม จำนวน 5.2 ล้านคน (ความครอบคลุมร้อยละ 7.1) และฉีดกระตุ้นเข็ม 3 อีก 5 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ได้วัคซีนไฟเซอร์ 3 แสนคน ที่เหลือเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
          สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยนั้น ตั้งแต่ 28 ก.พ. -14 ส.ค.2564 ได้รับการฉีด วัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว 356,337 คน คิดเป็น ร้อยละ 7.27 ของชาวต่างชาติทั้งหมดในไทย ในจำนวนนี้ฉีดครบ 2 เข็ม 107,106 คน ส่วนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปฉีดแล้ว 27,028 คน คิดเป็นร้อยละ 7.6 โดย 10 สัญชาติที่ได้ รับวัคซีนมากที่สุด ได้แก่เมียนมา จีน กัมพูชา ลาว ญี่ปุ่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บริติส ฝรั่งเศส และอเมริกัน ตามลำดับ
          ล่าสุดนี้ สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ได้ยืนยันว่าจะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้ประเทศไทยอีกจำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งกรมควบคุมโรคจะเร่งนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อวางแผน การจัดสรรล่วงหน้า ให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดโรค โควิด-19 ให้ได้เร็วที่สุด
          เด็ก12-18ปีแนวโน้มติดเชื้อเพิ่มขึ้น
          นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในไทย ยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเป็น จำนวนมาก และมีแนวโน้มการติดเชื้อ ที่เพิ่มสูงขึ้น เฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี พบติดเชื้อรายใหมในสัปดาห์แรกเดือนส.ค. จำนวน 7,787 คน และมีจำนวนการติดเชื้อรายใหมในสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 8,733 คน คิดเป็นร้อยละ 12 ซึ่งจากข้อมูล ดังกล่าวกลุ่มวัยเรียนวัยรุ่น จึงเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น
          ซึ่งล่าสุดราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคโควิด-19 ในจังหวัดควบคุมสูงสุดและ เข้มงวด โดยยังไม่แนะนำสำหรับเด็กทั่วไป ที่แข็งแรงดีจนกว่าจะมีวัดซีนที่มากขึ้น แต่มุ่งเนันกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจำตัวที่มี ความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ได้แก่ โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน และกลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า   จากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ประเทศไทย มีเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี จำนวน 5,196,248 คน พบติดเชื้อโควิด- 19 ตั้งแต่ 1 เม.ย. -14 ส.ค.2564 จำนวน 41,832 คน คิดเป็นร้อยละ 0.8 ในจำนวนนี้เสียชีวิต 8 คน ซึ่งทุกคนเป็นกลุ่มเด็กป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่นพิการทางสมอง มะเร็ง และหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ที่เป็น 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย สามารถให้เด็กเข้ารับบริการฉีดวัคซีนตามที่ราชวิทยาลัยกมารแพทย์แห่งประเทศไทยแนะนำได้เป็น วัดชื่นชนิด mRNA และที่มีใช้ในประเทศไทยในขณะนี้คือวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ Pizer BioNTech โดยก่อนไปรับบริการให้สอบถามและประสานนัดหมายกับ สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ประกาศให้บริการในพื้นที่นั้น ๆ
          "ทั้งนี้การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกัน โควิด-19 ของกลุ่มเด็กวัยเรียน วัยรุ่นยังคงต้องยึดตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.เว้นระยะห่าง ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน และจำกัดการเดินทาง เท่าที่จำเป็นและไมไปในที่ที่มีคนหนาแน่น เมื่อกลับถึงบ้านควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที 2.สวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นเฉพาะเวลากินอาหาร และไม่กินอาหารรวมกัน พร้อมทั้งงดการรวมกลุ่ม กับเพื่อน เปลี่ยนเป็นการติดต่อผ่าน โทรศัพท์หรือผ่านระบบออนไลน์แทน 3.หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจล แอลกอฮอล์บ่อยๆ และ 4.ประเมินความเสี่ยง ตนเองผ่าน "ไทยเซฟไทย" ทุกวัน หากพบ มีความเสี่ยงสูงให้แจ้งผู้ปกครองทันที" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

 pageview  1205469    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved