นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูง หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย เป็นแหล่งแร่ธาตุและวิตามินมากมาย ทั้งธาตุเหล็กแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 วิตามินอี โฟเลต เลซิธินลูทีน และซีแซนทีนเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน ให้เริ่มที่ไข่แดงต้มสุกวันละครึ่ง-1 ฟอง เด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไปกินไข่ต้มสุกวันละครึ่งถึง 1 ฟอง และ 1 ปีขึ้นไปถึงวัยสูงอายุกินไข่ต้มสุกได้วันละฟอง แต่หากป่วยเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง กินได้3 ฟองต่อสัปดาห์หรือตามคำแนะนำแพทย์ ควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อโดยให้มีประเภทแป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผักผลไม้สดจะช่วยกักเก็บน้ำตาลและคอเลสเตอรอลช่วยลดการดูดซึม และเลี่ยงกินไข่ดิบ ส่วนไข่ขาวที่ไม่สุกจะขัดขวางการดูดซึมไบโอติน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งในลำไส้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินบีไปใช้ได้ จึงได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่
          นอกจากนี้ วัยเด็กและผู้สูงอายุ ควรดื่มนมประจำ โดยเฉพาะนมจืดมีแคลเซียมสูง โดยเฉพาะนมสดรสจืดมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่าเนื่องจากมีแคลเซียมมาก ช่วยสร้างกระดูกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กด้านความสูง โดยเด็กวัยเรียนควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุต้องการสารอาหารเพิ่ม เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและป้องกันโรคกระดูกพรุน ให้ดื่มนมจืดวันละ 1-2 แก้ว ส่วนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอาทิ อ้วน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ควรดื่มนมพร่องมันเนย หรือขาดมันเนย วันละ 1-2 แก้ว