นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดก.สาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้อากาศหนาวเย็น ประชาชนอาจป่วยเป็นโรค
ทางเดินหายใจมากขึ้น โรคที่เป็นห่วงและมักพบมากขึ้นในฤดูหนาวคือปอดบวมซึ่งเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย จากรายงานสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรคตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-19 ต.ค.57 ทั่วประเทศมีป่วยโรคปอดบวม159,574 ราย กลุ่มที่ป่วยสูงที่สุดคือ อายุมากกว่า 65 ปี 47,931 ราย คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้ป่วยทั้งหมด รองลงมากลุ่มเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ปี 17,193 ราย มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 753 ราย พบในอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมากที่สุด อัตราป่วยสูงสุดพบที่ภาคเหนือ แสนละ 299 คน รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 293 คน
ทั้งนี้ โรคปอดบวมที่พบขณะนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดตามมาหลังป่วยไข้หวัด จึงขอแนะนำหากป่วยไข้หวัดให้นอนพักผ่อนมากๆอาจกินยาลดไข้พาราเซตามอลและเช็ดตัวลดไข้ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นแต่หากไข้ยังสูงเกิน 2 วัน ไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจลำบากหรือใช้แรงหายใจมาก น้ำมูกเปลี่ยนสีจากเหลืองอ่อนๆ เป็นเขียวให้สงสัยว่าอาจมีปอดบวมแทรกซ้อน ต้องรีบพบแพทย์ กรณีเด็กต่ำกว่า5 ปี หากป่วยไข้หวัดให้ดื่มน้ำหรือนมบ่อยๆนอนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่นโจ๊ก เช็ดตัวลดไข้และให้กินยาลดไข้พาราเซตามอลอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่หากไม่ดีขึ้นใน 2 วัน หรือเด็กซึมลง มีไข้สูง ไอ หายใจผิดปกติเช่น หายใจหอบเร็ว มีเสียงฮืดหรือเสียงหวีด หายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม ซึ่งเป็นสัญญาณโรคปอดบวมให้รีบพบแพทย์ เพื่อรักษาตั้งแต่ระยะแรก อันตรายต่างๆ จะน้อยลง
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า โดยทั่วไปจะมีประชาชนป่วยไข้หวัดปีละประมาณ 20 ล้านรายเฉลี่ย 2 ครั้งต่อคน โรคนี้โดยทั่วไปไม่รุนแรง ติดต่อกันง่ายจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยเชื้อจะแพร่กระจายมากับน้ำมูก ละอองน้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยโดยตรง หรือติดมากับสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย