|
ไทยโพสต์ [ วันที่ 26/06/2560 ] |
|
|
|
|
หนุนใช้สมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน |
|
|
|
|
กรุงเทพฯ * สภาเภสัชฯ จัดงานสัปดาห์เภสัชกรรม รณรงค์ "ใช้ยาสมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัย" ชี้ฟ้าทะลายโจรใช้แทนทั้งพาราและยาฆ่าเชื้อได้พร้อมกัน แนะถ้าจะใช้คู่กันจ้องปรึกษาเภสัชฯ หรือแพทย์
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ ลานอีเดน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สภาเภสัชกรรม จัดสัปดาห์เภสัชกรรม รณรงค์ "ใช้ยาและสมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัย" โดย ดร.ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า ปัจจุบัน รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มี นโยบายส่งเสริมให้สถานพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศใช้ยาสมุนไพรบำบัดรักษาโรคควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน เพราะยาบางอย่างสามารถใช้รักษาโรคร่วมกันได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักใช้ยารักษาโรคเรื้อรังมากกว่า 1 ชนิดและต่อเนื่องกัน เช่น โรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจตีบ ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น ทั้งนี้ ยาสมุนไพรสามารถผลิตได้จากในประเทศ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ และยังมีความเชื่อว่าสมุนไพรมาจากธรรมชาติต่อร่างกาย ไม่ตกค้างและไม่ก่อให้เกิดพิษ แต่ไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพรก็ให้โทษได้หากใช้ไม่ถูกวิธี ไม่ถูกโรค หรือใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม เพราะยาบางอย่างจะไปขัดฤทธิ์กันหรือเสริมฤทธิ์ให้ยาแรงขึ้น ดังนั้นต้องมีความพอดี มีปริมาณสอดคล้องกัน
อย่างไรก็ตาม ก็มียาบางตัวที่สามารถใช้แทนยาแผนปัจจุบันได้เลย เช่น การใช้ยาพาราเซตามอล บางทีต้องใช้ควบคู่กับยาฆ่าเชื้อ ก็สามารถใช้ยาฟ้าทะลายโจรตัวเดียวได้เลย เป็นต้น โดยในปัจจุบัน รัฐบาลได้รับรองและบรรจุยาสมุนไพรไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 24 รายการ อาทิ ยารัษาทางเดินหายใจ เช่น ยาขมิ้นชัน ยาขิง ยาฟ้าทะลายโจร, ยารักษาทางเดินหายใจ ได้แก่ ยาฟ้าทะลายโจร, ยารักษาโรคผิวหนัง เช่น ยาบัวบกครีม ยาเปลือกมังคุด ยาบัวบกครีม เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ผู้ใช้ต้องยึดหลัก 5 ถูก คือ 1.ถูกคน 2.ถูกโรค 3.ถูกขนาด 4.ถูกวิธี และ 5.ถูกเวลา และในการใช้ควบคู่กันก็ต้องมีการปรึกษาเภสัชกรด้วยทุกครั้ง
ดร.ภก.นิลสุวรรณกล่าวถึงบทบาทของเภสัชกรอีกว่า ในการใช้ยานั้น เภสัชกรมีส่วนสำคัญมาก ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนในสังคมจะเข้าใจว่าเภสัชกรจะต้องอยู่แค่ในร้านขายยา แต่จริงความจริงในสิ่งที่คนไม่รับรู้คือ เป็นวิชาชีพที่ทำงานในโรงพยาบาลควบคู่กับหมอ พยาบาล ในการทำหน้าที่ให้ยาตามอาการ และให้ความรู้เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาแก่ผู้ป่วยมาโดยตลอด ซึ่งในปัจจุบันทั่วประเทศสามารถผลิตเภสัชกรปีละ 1,900 คน ในขณะที่ รพ.รัฐมีความต้องการให้เข้าสู่ระบบปีละ 1,600 คน หรือไม่ต่ำกว่าประมาณ 70% แต่ที่ผ่านมา สธ.สามารถบรรจุข้าราชการให้ได้ประมาณ 380 คน แต่ในปีนี้กลับไม่มีตำแหน่งให้เลย ทำให้เภสัชกรที่ผลิตได้ในแต่ละปีเข้าสู่การทำงานในระบบเอกชนหรือไปทำงานอื่น เพราะขาดแรงจูงใจ ซึ่งทำให้ทุนที่รัฐส่งเสริมในการเรียนนั้นสูญเปล่าไป
"อย่างที่ทราบกันว่า การบรรจุข้าราชการนั้นเงินเดือนไม่สูงมากนัก แต่ที่น้องๆ ที่จบมาต้องการคือสวัสดิการต่างๆ ที่จะได้รับ ซึ่งในปีนี้ไม่มีตำแหน่งของเภสัชกรเลย ทาง สธ.ได้ให้ทำข้อมูลเพิ่มเติมส่งเข้าไป ซึ่งก็มีทางเครือข่ายอยากไปเรียกร้องเหมือนวิชาชีพอื่นๆ เช่นกัน แต่ก็ได้บอกว่าให้รอฟังเหตุผลของทางกระทรวงก่อน เพราะไม่อยากกดดันการทำงาน ซึ่งขณะนี้กำลังทำเรื่องขอเข้าชี้แจงกับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวง ถึงความจำเป็นและภาระงานต่างๆ ที่ต้องการจะได้รับการบรรจุ ซึ่งต้องฟังเหตุผลก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป" นายกสภาเภสัชกรรมกล่าว. |
| | |
|
|