"ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" จากข้อมูลการสำรวจสภาวะสุขภาพของคนไทย ของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า 4 โรคยอดฮิตอย่างโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง นับเป็น 4 โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด ซึ่งนับวันจะมีแนวโน้มผู้ป่วยด้วยโรคนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัวการสำคัญมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้องในเรื่องการบริโภคและการออกกำลังกาย ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมาปรับชีวิตด้วยการ "ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพ" ออกสตาร์ทการดูแลสุขภาพเริ่มต้นได้ที่ตัวเราเอง โดยเน้น 2 หลักการที่สำคัญ คือ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคู่กับการรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ทางหนึ่ง
แม้การออกกำลังกายนั้นช่วยเราให้ห่างไกลโรคได้ แต่การออกกำลังที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งการออกกำลังกายที่ถูกต้องนั้นประกอบด้วยข้อปฏิบัติดังนี้ 1.เริ่มต้นด้วยการอบอุ่นร่างกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น วิ่งเหยาะๆ เดินช้าๆ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อประมาณ 5 นาที 2.ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ปอด กล้ามเนื้อทำงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที 3.ผ่อนคลาย สิ้นสุดการออกกำลังกายด้วยการลดระดับความแรงลงเรื่อยๆ เพื่อผ่อนคลายระดับการเต้นของหัวใจ ปอด กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนของร่างกาย เช่น วิ่งช้าๆ สลับการเดิน เดินช้าๆ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ใช้เวลาผ่อนคลายประมาณ 5 นาที
การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยก็สำคัญ โดยเฉพาะ "วัยเด็ก" นั้น เพื่อให้มีการพัฒนาร่างกายทุกสัดส่วน ควรออกกำลังกายโดยใช้กิจกรรมที่หลากหลาย ควรใช้การออกแรงแบบหนักสลับเบา ส่วน "วัยทำงาน" ควรเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเวลา วัย อาชีพ และสภาพร่างกาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน ครั้งละประมาณ 30 นาที เช่นเต้นแอโรบิก เดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ เป็นต้น มาถึง "วัยสูงอายุ" นับเป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมถอย มีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ควรออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ไม่หักโหม ใช้แรงพอเหมาะ ค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเดินช้าๆ รำมวยจีน กายบริหารประกอบเพลง จะดีที่สุด
มาถึงเรื่องของการรับประทานอาหารให้ถูกต้องเพื่อให้ห่างไกลโรคนั้น "การกินอาหารอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยในแต่ละหมู่ควรเลือกกินให้หลากหลายชนิด ไม่ซ้ำซาก กินอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน เช่น 1.กินข้าวเป็นหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งบางมื้อ 2.กินผักและผลไม้สดปลอดสารพิษเป็นประจำ อย่างเพียงพอ และหลากหลาย วันละอย่างน้อย 5 ขีด หรือครึ่งกิโลกรัมขึ้นไป กินให้ได้ทั้ง 3 มื้อ และไม่กินผลไม้รสหวานจัด ซึ่งคนที่กินผักผลไม้หลากหลายสี เช่น สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีน้ำเงิน สีม่วง สีขาว สีน้ำตาล เป็นประจำ ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติของสีเหล่านี้ เพราะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ดูดซับสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ต้านการอักเสบและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันปกป้องเซลล์ ช่วยการไหลเวียนของเลือด และช่วยลดคอเลสเตอรอล
3.กินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน กินปลา ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ 4.ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย 5.ลดอาหารไขมัน 6.หลีกเลี่ยงการกินอาหารเค็มและ หวานจัด ควรจำกัดการกินเกลือ หรือน้ำปลาวันละไม่เกิน 1 ช้อนชา และจำกัดการกินน้ำตาลวันละไม่เกิน 6 ช้อนชา 7.กินอาหารที่สุก สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
ส่วนการกินอาหารในแต่ละช่วงวัยนั้น เริ่มจาก "วัยเด็ก" เป็นช่วงวัยที่กำลังเจริญเติบโต ควรกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และหลากหลายชนิด ให้ครบทั้ง 3 มื้อ และควรหลีกเลี่ยงลูกอม ขนมหวาน น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว อาหารรสจัด และอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งอาหารเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคเบาหวาน สำหรับ "วัยทำงาน" วัยนี้มักมีปัญหาเรื่องของน้ำหนักตัวมาก ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยควบคุมปริมาณการกินอาหาร ลดอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง และหมั่นออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก ปิดท้ายกันด้วย "วัยสูงอายุ" ควรเลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย ได้สารอาหารครบถ้วน เช่น ปลา ผักใบเขียว ผลไม้รสไม่หวานจัด เลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เช่น แกงกะทิ อาหารทอดและอาหารรสจัด และใช้วิธีปรุงอาหารประเภทนึ่ง ต้ม ตุ๋น ผู้หญิงสูงอายุที่อยู่ในวัยทองควรดื่มนมพร่องมันเนย หรือกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อเสริมแคลเซียมให้ร่างกาย.