ไทยโพสต์ * แกรนท์ ธอร์นตัน เผยผลสำรวจความเครียดนักธุรกิจไทยติด 5 อันดับแรกของโลก หลังพิษน้ำท่วมปลายปีก่อนฉุดอารมณ์การทำงานนักธุรกิจวูบ พร้อมระบุผู้บริหารไทยลาพักร้อนน้อยเพียง 8 วันต่อปี เป็นผลจุดเกิดความเครียดเมื่อเทียบยุโรปที่พักร้อนนาน
นายเอียน แพสโค กรรม การบริหารของแกรนท์ ธอร์นตัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารในระดับประธานกรรมการบริษัท กรรมการบริหาร ประธาน และ ผู้บริหารอาวุโส จาก 39 กลุ่มประเทศเศรษฐกิจ ใน 5 อุตสาห กรรมหลัก ประกอบด้วย การผลิต การบริการ ค้าปลีก การก่อสร้าง และอุตสาหกรรมอื่นๆ เกี่ยวกับหัวข้อความเครียดพบว่า ผู้บริหารไทยมีความเครียดอยู่ในอันดับ 5 ของโลกในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา โดย 55% ของผู้บริหารไทยเปิดเผยว่า รู้สึกถึงความเครียดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งรองจากประเทศกรีซที่มีอัตราความ เครียด 67% จีน 60% ไต้หวัน 57% และเวียดนาม 56%
สำหรับปัญหาความเครียดที่ผู้บริหารไทยเปิดเผยข้อมูลจะเปิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมอย่างหนัก หลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าว จึงส่งผลให้ตัวเลขระดับความเครียดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีอัตราความเครียดเพียงแค่ 10% มาเป็น 55% ในปี 2554
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจยังพบว่า ผู้บริหารไทยนิยมคลายเครียดด้วยการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายคิดเป็นอัตราส่วน 33% ทำกิจกรรมบันเทิงที่บ้าน 32% นอกบ้าน 23% และ 18% ใช้เวลาไปกับการลาหยุดพักร้อน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วผู้บริหารไทยลาหยุดพักร้อนเพียงแค่ 8 วัน ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตามหลังประเทศญี่ปุ่นที่ลาพักร้อนเฉลี่ยที่ 5 วัน และจีน 7 วัน ขณะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ รัสเซีย และเดนมาร์ก มีตัวเลขการลาหยุดพักร้อนสูงที่สุดในปี 2554 และมีระดับการเพิ่มของความเครียดต่ำที่สุด
"หากมองอัตราการเพิ่มความเครียดของผู้บริหารทั่วโลกโดยรวมจัดว่าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดจากการทำสำรวจตั้งแต่ปี 2548 แต่ด้วยสภาวะของเศรษฐกิจที่ตกต่ำในหลายๆ ประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับความไม่มีเสถียรภาพทางธุร กิจ จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าผู้บริหารในหลายประเทศจะ มีนโยบายบริหารจัดการอย่าง ไร เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายทาง ธุรกิจและหลีกเลี่ยงความ เครียดที่เกิดขึ้น" นายเอียนกล่าว
สำหรับระดับความเครียด โดยเฉลี่ยทั่วโลกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 28% ลดลงจากปี 25543 ที่มีระดับ 45% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันทั่วโลก โดย 21% ของผู้บริหารในทวีปอเมริกาเหนือมี ระดับความเครียดเพิ่มขึ้นใน รอบ 12 เดือน ซึ่งลดลงเมื่อ เทียบกับปี 2553 ที่สูงถึง 35% ขณะที่ประเทศในเอเชียแปซิฟิกมีระดับความเครียดสูงสุดที่ 44% แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ลดลงจากปี 2553 ที่อยู่ในระดับ 58% แต่จากการที่ผู้บริหารยังต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ อาจทำให้ระดับความเครียดปรับระดับเพิ่มขึ้นได้
"ในขณะที่วิกฤติทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารส่วนใหญ่ได้เรียนรู้ถึงวิธีการแก้ไขและเผชิญปัญหาที่ดีขึ้น รวมถึงวิธีการจัดการกับความเครียด โดยมีการปรับมาตรฐานการวัดผลงานและเป้าหมายให้สมดุลสอดคล้องกับสภาพความ เป็นจริงมากขึ้น" นายเอียนกล่าว