เมื่อวันที่ 26 เม.ย. นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เปิดเผยว่า ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูง รวมถึงธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 วิตามินอี โฟเลต เลซิธินลูทีน และซีแซนทีน ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย สำหรับคำแนะนำในการกินไข่คือ เด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน ให้เริ่มที่ไข่แดงต้มสุกวันละครึ่งถึง 1 ฟอง เด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไปกินไข่ต้มสุกวันละครึ่งถึง 1 ฟอง และเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไปถึงวัยสูงอายุกินไข่ต้มสุกได้วันละฟอง แต่หากเป็นผู้ป่วยเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง กินไข่ได้ 3 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์ หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูงอาจจะเลี่ยงการกินไข่แดงในบางมื้อ
นพ.วชิระ กล่าวว่า ทั้งนี้ควรกินไข่ควบคู่กับอาหารหลากหลายประเภทในแต่ละมื้อด้วยเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่ และควรเลี่ยงการกินไข่ดิบ เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้ในส่วนไข่ขาวที่ไม่สุกจะขัดขวางการดูดซึมไบโอตินซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งในลำไส้ ทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ไข่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายเมนูและควรใส่ผักลงไปในแต่ละเมนูด้วย
นพ.วชิระ กล่าวต่อว่า นอกจากจากกินไข่แล้ว วัยเด็กและผู้สูงอายุ ควรดื่มนมเป็นประจำ โดยเฉพาะนมจืดเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีที่มีแคลเซียมในปริมาณสูง ช่วยการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กด้านความสูง โดยเด็กวัยเรียนควรดื่มนมจืดวันละประมาณ 2-3 แก้ว วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและชะลอการสูญเสียมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน แนะนำให้ดื่มนมจืดวันละ 1-2 แก้ว ส่วนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ อาทิ ภาวะอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ควรดื่มนมชนิดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนยเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะไขมันเกิน วันละ 1-2 แก้ว. |