Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ [ วันที่ 01/10/2557 ]
พริตตี้สาวศัลยกรรม หน้าเรียว แพ้ยาสลบดับอนาถ เพื่อนแห่ร่วมอาลัยเผาศพหมอเตือนวิธีผ่าอันตราย!
สลดพริตตี้สาว ทำศัลยกรรมหน้าเรียว หรือ "วีไลน์" ทุบโหนกแก้ม-ทุบกราม ดับอนาถ ครอบครัว-เพื่อนฝูงสุดอาลัยแห่ร่วมงานศพเพียบ ด้านนายกสมาคมศัลยกรรมใบหน้าแห่งประเทศไทย คาดผู้เคราะห์ร้ายแพ้ยาสลบ ออก โรงเตือนสาว ๆ ไม่ควรทำศัลยกรรมใบหน้า พร้อมกันหลายจุด เสี่ยงหน้าบวมจนไปอุดระบบ หายใจ ด้าน สบส.สั่ง สสจ.เชียงใหม่ ลุยสอบข้อมูลด่วน ทั้งแพทย์ผู้ให้บริการ สถานที่ อุปกรณ์ ผ่าตัดได้มาตรฐานหรือไม่ จี้แพทยสภา-สธ.หามาตรการล้อมคอก หวั่นมีคนตกเป็นเหยื่อสังเวย เพิ่ม หลังพบข้อมูลน่าตกใจแพทย์เพิ่งจบใหม่ลัดฟ้าไปอบรมที่แดนกิมจิ 1-2 เดือน กลับมาเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว
          จากกรณีโลกโซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูลระบุถึงพริตตี้สาวสวยคนหนึ่งไปทำศัลยกรรมหน้าเรียว หรือวีไลน์ ที่คลินิกแห่งหนึ่ง แต่เกิดอาการแพ้ยาสลบแล้วเสียชีวิต โดยแฟนหนุ่มของผู้ตายได้โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊กว่า "วันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุทางการผ่าตัด เนื่องด้วยระหว่างผ่าตัด หญิง หรือเฟิร์นอันเป็นที่รักของครอบครัว มีไข้ขึ้นสูง มีอาการความดันต่ำ จากภาวะ Malignant Hyperthermia เป็นภาวะที่ไม่พึงประสงค์ แพทย์และพยาบาลได้พยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ไม่เป็นผล เหมือนเป็นความฝัน..เฟิร์นได้จากผมไปแล้ว" ทำให้มีผู้เข้ามาโพสต์ข้อความแสดงความเสียใจ พร้อมกับแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับการศัลยกรรมหน้าเรียว หรือวีไลน์ ว่าเป็นการผ่าตัดที่อันตรายเป็นอย่างมากนั้น
          ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้มีพิธีสวดพระอภิธรรมศพพริตตี้สาวที่เสียชีวิตรายดังกล่าว ทราบชื่อต่อมา น.ส.เมทยา มาวงค์ อายุ 30 ปี หรือน้องหญิง หรือเฟิร์น ที่บ้านพักใน ต.สันต้นหมื้อ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เป็นวันสุดท้าย โดยมีญาติ ๆ กลุ่มเพื่อน และชาวบ้านเดินทางมาร่วมไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก จากนั้นในช่วงเย็นได้เคลื่อนศพไปทำพิธีฌาปนกิจที่ป่าช้าบ้านสันต้นหมื้อ
          นายพงศ์กร  (ขอสงวนนามสกุล) แฟนหนุ่มของพริตตี้สาวผู้เคราะห์ร้าย กล่าวว่า ยอมรับว่าข่าวที่ระบุว่าแฟนสาวเสียชีวิตจากการผ่าตัดเสริมความงามเป็นเรื่องจริง ซึ่งทางคลินิกที่ไปทำศัลยกรรมก็ช่วยเหลือให้เงินมาจำนวนหนึ่ง ความจริงไม่อยากให้เป็นข่าว เพราะต้องการให้ผู้ตายจากไปอย่างสงบ แต่ก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้คนที่คิดจะไปผ่าตัดเสริมความงามคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากขึ้น ขณะที่พ่อและแม่ของผู้ตาย เผยว่า เสียใจต่อการจากไปของลูกสาวมาก ซึ่งก็ได้แต่คิดแบบคนพื้นเมืองล้านนาว่า ลูกมาได้เพียงเท่านี้ มีบุญอยู่ในโลกเพียงเท่านี้
          วันเดียวกัน นพ.ชลทิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า และเลขาธิการศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าอาเซียน  กล่าวถึง กรณีพริตตี้สาวเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดทำศัลยกรรมทุบโหนกแก้ม-ทุบกราม หรือที่เรียกว่า วีไลน์ โดยที่ญาติออกมาระบุว่าเป็นเพราะแพ้ยาสลบ ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน แต่ส่วนตัวแล้วเห็นว่าเรื่องนี้ต้องแยกออกเป็น 3 ประเด็น คือการผ่าตัด การใช้ยาสลบ และด้านสังคม
          ทั้งนี้ ในส่วนของการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า ถือว่าเป็นเนื้อเยื่อส่วนที่บอบบาง การผ่าตัดศัลยกรรมแพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดศัลยกรรมทีละอย่าง เช่น ทำเฉพาะจมูก ปาก คาง หรือกราม เป็นต้น จะไม่นิยมทำหลาย ๆ ส่วนพร้อมกัน เพราะถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่เสี่ยงเกิดอาการบวมจนปิดทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม การทำศัลยกรรมต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การผ่าตัดราบรื่น ใช้เวลาน้อย ลดอาการบวมช้ำได้ ที่สำคัญคือหลังการผ่าตัดโดยเฉพาะการผ่าตัดใหญ่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ที่มีระบบให้ความช่วยเหลือชีวิต
          นพ.ชลทิศ กล่าวต่อว่า ส่วนการดมยาสลบนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องดำเนินการโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อควบคุมปริมาณยาให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของคนไข้ระหว่างการผ่าตัด ไปจนถึงดูแลภาวะฉุกเฉินหลังผ่าตัด ดูแลการเต้นของหัวใจ ความดัน จนกว่าคนไข้จะปลอดภัย ซึ่งต้องมีอุปกรณ์ช่วยเหลือชีวิตหลายอย่าง เช่น เครื่องมือสอดท่อช่วยหายใจ การให้ออกซิเจน การให้น้ำเกลือ ปรับความดัน เป็นต้น สำหรับประเด็นการแพ้ยาสลบนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่หากมีวิสัญญีแพทย์อยู่ร่วมในการผ่าตัด โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตเกิดขึ้นได้ต่ำมาก เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ปัจจุบันสามารถช่วยกู้ชีพคนไข้ได้แม้ว่าจะแพ้ยา การมีวิสัญญีแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
          นพ.ชลทิศ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเด็นทางสังคม ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะปัจจุบันพบว่าธุรกิจความงาม การผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างผิดปกติ มีแพทย์ที่เข้ามาทำวิชาชีพนี้โดยไม่ทราบอะไรเลย บางครั้งไปชุบตัวที่ประเทศ เกาหลี 1-2 เดือน ก็กลับมาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นส่วนตัวเห็นว่าแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดศัลยกรรมความงามได้ ควรผ่านการฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาใดสาขาหนึ่งมาก่อน ต้องมีความเชี่ยวชาญ สามารถแก้ปัญหาและช่วยชีวิตผู้ป่วยที่เกิดจากความผิดพลาดระหว่างผ่าตัดได้ ซึ่งอยากให้ทางแพทยสภา และกระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะจะทำให้มีความเสี่ยงต่อคนไข้มาก
          ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ขณะนี้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้พูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิตเพื่อขอข้อมูลเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ สบส.จะดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งในส่วนของสถานบริการ การให้บริการ เครื่องมืออุปกรณ์ในการรักษาและช่วยชีวิต และแพทย์ผู้ให้บริการ ว่าได้ดำเนินการตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งการผ่าตัดไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ก็ต้องดำเนินการตามมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
          ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า เรื่องนี้ค่อนข้างมีปัญหามาก เมื่อแพทย์ที่เพิ่งจบใหม่ไปฝึกอบรมแค่ระยะสั้นเพียง 1-2 เดือน แล้วกลับมารับ ทำศัลยกรรม จนทำให้คนไข้เสียชีวิต ซึ่งแพทยสภาไม่อยากให้ทำแบบนี้ และเกิดปัญหา แต่ก็ยังไม่ได้มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามจะมีการนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ 2 ต.ค.นี้ เพื่อหารือกันอีกครั้ง.
 pageview  1205112    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved