ด้วยความมุ่งมั่นในแนวคิด "เนสท์เล่ กู๊ด ฟู้ด กู๊ด ไลฟ์" ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเช้าเนสท์เล่ซีเรียล เล็งเห็นถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ และเดินหน้าส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีของเด็กในวัยเรียนเสมอมา ล่าสุดได้จัดกิจกรรม "เนสท์เล่ เฮลตี้ เบรกฟาสต์เดย์" เพื่อส่งเสริมให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้แก่ลูกทุกวัน ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เด็กมีสมาธิ เติบโตสมวัย และพร้อมสำหรับการเรียนรู้ โดยเฉพาะอาหารเช้าที่มีส่วนประกอบของโฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ดที่ให้พลังงานอย่างต่อเนื่อง จะยิ่งช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิในการเรียนและพร้อมในการทำกิจกรรมต่างๆ ยิ่งขึ้น
จากข้อมูลของ รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล และทีมวิจัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารเช้าของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยการสุ่มสำรวจนักเรียนจำนวน 1,012 คน พบว่า เด็กที่รับประทานอาหารเช้าเป็นครั้งคราวหรือไม่ได้รับประทานเลยมีประมาณร้อยละ 20 สาเหตุหลัก มาจากความเร่งรีบไม่มีเวลา เด็กตื่นสาย และที่บ้าน ไม่เตรียมอาหารไว้ให้ลูก ซึ่งการได้รับสารอาหาร ที่มีประโยชน์ตั้งแต่มื้อแรก จะช่วยเริ่มต้นกระบวน การเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานที่ร่างกายต้องการ ทำให้ร่างกายมีพลัง ในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งเรียนและเล่นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถช่วยลดพฤติกรรม อาทิ การกินจุบจิบ ซึ่งเป็น สาเหตุให้น้ำหนักเกิน และช่วยควบ คุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะอ้วนและเบาหวาน
ทั้งนี้ นอกจากพลังงานที่ได้รับ ซึ่งจำเป็นต่อการเริ่มต้นวันใหม่แล้ว มีหลายการศึกษาพิสูจน์ให้เห็นว่า อาหารเช้าช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วขึ้น มีสมาธิในชั้นเรียน โดยเด็กที่ได้รับอาหารเช้า
ที่มีประโยชน์ประกอบไปด้วยธัญพืช ใยอาหาร โปรตีน และมีปริมาณน้ำตาลน้อย จะทำให้เด็กมีความสนใจ และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น และมีความจำดีในการเรียนหนังสือ
ด้าน กรทิพย์ ฐิติธรรมจริยา ผู้เชี่ยวชาญด้าน โภชนาการของเนสท์เล่กล่าวว่า อาหารเช้าที่เด็กไทยนิยมรับประทาน อาทิ ขนมปัง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง จะได้รับคาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีนเป็นหลัก อาจจะ ยังขาดสารอาหารพวกวิตามินและแร่ธาตุ ทั้งนี้ จากข้อมูลโครงการสำรวจภาวะโภชนาการและสุขภาพ ของเด็กในภูมิภาคอาเซียน สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำรวจในปี 2554 พบว่า แคลเซียมและเหล็กเป็นสารอาหารที่เด็กไทยอายุ 6-12 ปี ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการในหนึ่งวัน โดยเด็กในเมืองได้รับแคลเซียมเฉลี่ย 75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กต่างจังหวัดได้รับแคลเซียมเฉลี่ยเพียง 44 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน และเด็กเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ มีภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งแคลเซียมและธาตุเหล็กมีความ