Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก [ วันที่ 20/08/2557 ]
หน้าฝนนี้อย่ามองข้าม...โรคไข้หวัด
ในช่วงนี้มีหลายโรคที่แพร่ระบาดจนต้องมีการออกมารณรงค์ แต่โรคที่ไม่ควรมองข้ามอีกหนึ่งโรคก็คือ "โรคไข้หวัด" โดยเฉพาะช่วงย่างเข้าสู่ฤดูฝนเช่นนี้ มักจะพบเด็กเจ็บป่วยเป็นไข้หวัดกันมาก ยิ่งท่านที่มีลูกหลานเล็กๆ เพิ่งเข้าเรียนหนังสือเป็นปีแรกด้วยแล้ว คงรู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่เด็กๆ ติด "เชื้อหวัด" จากเพื่อนในห้องเรียน จนต้องขาดเรียนบ่อยๆ ไม่เว้นแต่ละเดือน เพราะไข้หวัดติดต่อกันง่าย ทางจมูกและคอเพียงแค่อยู่ใกล้ชิดกัน และรับเชื้อละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอ จาม หายใจรดกัน หรือจากการสัมผัส แล้วมาขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้
          ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่าโรคไข้หวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของคนเรา การที่เด็กๆ หรือผู้ใหญ่ป่วยเป็นไข้หวัด ก็เพราะได้รับเชื้อโรคที่เป็นไวรัสชนิดใดชนิดหนึ่งจากที่มีสายพันธุ์ย่อยๆ มากกว่า 100 ชนิดเมื่อหายจากไข้หวัดแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดนั้นขึ้นมา แต่เมื่อป่วยเป็นไข้หวัดครั้งใหม่ก็มักจะเกิดจากเชื้อไวรัสหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้ จึงทำให้เป็นไข้หวัดกันได้ปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะในเด็กเล็กมักจะมีโอกาสเป็นไข้หวัดกันได้บ่อยๆ และมักจะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากยังมีภูมิต้านทานต่อเชื้อหวัดน้อยกว่าผู้ใหญ่นั่นเอง
          เชื้อไข้หวัดสามารถติดต่อกันได้ง่าย เนื่องจากไข้หวัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้นคือ จมูกและคอเพียงแค่อยู่ใกล้ชิดกันและรับเชื้อละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอ จาม หายใจรดกัน หรือจากการสัมผัส เมื่อมีเชื้อหวัดติดมือแล้วไปสัมผัสผู้อื่น เชื้อหวัดก็จะติดคนคนนั้น หากไปขยี้ตาหรือแคะจมูกก็จะเข้าสู่ร่างกายจนกลายเป็นไข้หวัดได้ โดยเฉพาะในเด็กที่มักชอบเล่นคลุกคลีกันอย่างใกล้ชิดจึงทำให้มีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดได้ง่าย สำหรับอาการของไข้หวัด หลังจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 1-3 วัน ก็จะเริ่มแสดงอาการและที่เห็นชัดเจนแตกต่างจากไข้อื่นๆ ก็คือ ต้องมีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไอ เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย
          ส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรงจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เด็กยังวิ่งเล่น หรือผู้ใหญ่ทำงานได้ ในเด็กอาจมีไข้ตัวร้อนเป็นพักๆ ประมาณ 4-5 วัน แต่อาการไข้จะไม่ขึ้นสูงตลอดทั้งวันทั้งคืน เมื่อรับประทานยาลดไข้แล้ว อาการมักจะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน อย่างมากก็ไม่เกิน 7 วัน แต่หากมีอาการปวดหู หูอื้อ ปวดศีรษะมาก มีอาการหอบเหนื่อย น้ำมูกหรือเสมหะเหลืองเขียว ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคและภาวะแทรกซ้อน รวมทั้งได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
          การรักษาไข้หวัดไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไม่ได้ช่วยกำจัดเชื้อไวรัสทุกชนิดได้ แต่ให้รักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการไข้ก็ให้รับประทานยาลดไข้ เป็นต้น พร้อมกับดูแลตัวเองหรือบุตรหลานโดยการพักผ่อนให้มากขึ้น ไม่อาบน้ำเย็น ห้ามดื่มน้ำเย็นหรือรับประทานน้ำแข็ง ควรดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ และรักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
          ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ ชี้แนวทางการป้องกันไข้หวัดสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารให้ครบหมู่ พักผ่อนให้เพียงพอและต้องพยายามไม่ไปอยู่ใกล้
          คนที่เป็นไข้หวัด นอกจากนั้นในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัด ซึ่งมักจะเกิดในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ฤดูฝน ฤดูหนาว ไม่ควรเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ส่วนคนที่เป็นหวัด เวลาไอหรือจาม ก็ควรปิดปากหรือใส่ผ้าปิดปาก เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายออกไปยังบุคคลอื่น และควรอยู่ให้ห่างไกลจากผู้อื่น หรือไม่นอนรวมกับผู้อื่น แต่ทางที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัด ก็คือการใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ
          ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
 pageview  1205114    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved