เภสัชกร (ภก.) เด่นชัย ดอกพอง โรงพยาบาลขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ  กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังการใช้สเตียรอยด์ ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ พบว่า ประชาชนเริ่มมีความเข้าใจ และสังเกตความผิดปกติได้ หากรับประทานผลิตภัณฑ์สเตียรอยด์ เช่น อาการทางกาย หน้าบวม ตัวบวม หรือหายปวดฉับพลัน อีกทั้งหน่วยงานรัฐยังมีมาตรการเฝ้าระวังและปราบปรามจริงจัง แต่ยังพบว่าแนวโน้มการลักลอบเติมสารสเตียรอยด์เริ่มเปลี่ยนไป เช่น นำไปเติมในน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร ที่ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร และยังพบแนวโน้มการนำสารตัวอื่นมาเติมแทนสเตียรอยด์ คือ การเติมสารกลุ่ม NSAID หรือกลุ่มยาแก้ปวดชนิดหนึ่งไปแทนสเตียรอยด์ ซึ่งยากลุ่มนี้รับประทานมากหรือต่อเนื่องจะทำให้เกิดไตวายและโรคกระเพาะ

          ภก.เด่นชัย กล่าวอีกว่า แม้ว่ากลุ่ม NSAID จะมีอันตรายน้อยกว่า สเตียรอยด์ แต่ถือว่าน่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน โดยจากการเฝ้าระวังพบว่า มีการนำไปเติมในสมุนไพรชนิดน้ำ ซึ่งการเติมลงในผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ จะทำให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณที่ได้รับยาได้ ต่างจากการรับประทานในรูปแบบเม็ด ซึ่งยากลุ่ม NSAID ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับสภาพของบุคคลนั้นๆ ด้วย หากเป็นผู้สูงอายุที่ไตไม่ดีอยู่แล้ว ก็อาจเห็นผลกระทบเร็ว แต่คนทั่วไป 2-3 สัปดาห์ก็มีอาการของโรคไตได้ ซึ่งการเติมยา กลุ่ม NSAID ในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตนั้น ถือได้ว่าเทียบเท่ากับการผลิตยาปลอมจะต้องได้รับโทษ

          ภก.เด่นชัย กล่าวต่อว่า สำหรับการเฝ้าระวังการเติมสารสเตียรอยด์อย่างเข้มงวด จนทำให้มีการเติมสารตัวอื่นลงไปทดแทนนั้น ถือว่าเป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวังเพิ่มเติม โดยเฉพาะ NSAID ที่นำมาเติมอย่างไม่ถูกต้องแบบนี้ ยังถือเป็นเรื่องยากในการป้องกัน เพราะต้องนำตัวอย่างที่สุ่มตัวอย่างตรวจ ส่งที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ และประชาชนยังไม่สามารถเฝ้าระวังได้เองด้วยการสังเกตจากอาการภายนอก เหมือนเรื่องของ สเตียรอยด์ได้ แต่ในเครือข่ายเฝ้าระวัง ยังคงสุ่มตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากแหล่งขาย เช่น รถเร่ พระ วิทยุชุมชน ยังเป็นช่องทางขายผลิตภัณฑ์ที่ปลอมปนสารที่เป็น อันตรายมาก