พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติ-นรีแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลพิจิตร และโฆษกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีโลกโซเชี่ยลระบุถึงความเสี่ยงในการกินยาคุมกำเนิดเพื่อช่วยเสริมหน้าอก อาจเกิดอาการลิ่มเลือด อุดตันปอด หัวใจ และเมื่อกินนานๆ จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม ว่า การกินยาคุมในปริมาณที่ปกติคือกินวันละ 1 เม็ด ตามที่กำหนดจะมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่หากกินในปริมาณมาก หลายเม็ดต่อวันเพื่อหวังให้มีฮอร์โมนเพศหญิง หน้าอกใหญ่ ก็อาจจะทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันหัวใจ ปอด อุดตันตามเส้นเลือดที่อยู่ลึกๆ ได้ ดังนั้นไม่ควรกินมากกว่าปริมาณที่กำหนดเด็ดขาด จะไม่เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม
พญ.ชัญวลีกล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือไม่ควรกินเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 5-10 ปี แม้ตัวยาจะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งโดยตรง แต่ยาคุมจะทำให้ช่องคลอดมีน้ำเสี่ยงต่อการมีเชื้อเอสพีวีที่เป็นตัวก่อมะเร็งปากมดลูก ดังนั้นเมื่อกินยาคุมติดต่อกันมา 5 ปี อาจจะหยุดแล้วใช้วิธีคุมกำเนินอื่นสัก 1 ปี เช่นการใส่ถุงยาง ค่อยกลับมากินยาคุมตามเดิมก็ไม่ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก ส่วนคนที่เป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นโรงมะเร็งอยู่แล้วไม่ควรกินยาคุมอย่างเด็ดขาด และผู้ที่กินยาคุมเป็นประจำก็ควรเข้ารับการตรวจภายในทุกปีเมื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือไม่
พญ.ชัญวลีกล่าวอีกว่า ยาคุมกำเนิดผลิตมากว่า 3 แบบแล้ว ในแบบปกตินั้นยาคุมกำเนิดจะมีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง เมื่อกินแล้วก็อาจจะทำให้หน้าอกโตขึ้นได้ แต่ไม่มาก ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามีเนื้อที่อกมากหรือไม่ และในปัจจุบันมียาคุมกำเนิดแบบใหม่ รุ่นที่ 3 ที่ช่วยความงามด้วยคือลดปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ลงจาก 50 ไมโครกรัมต่อเม็ด เป็น 20-35 ไมโครกรัมต่อเม็ด เมื่อลดตัวฮอร์โมนเพศหญิง มีส่วนต้านฮอร์โมนเพศชาย ก็จะสามารถลดการเกิดสิว ลดหน้ามันได้ด้วย |