HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

ตร.-ดีเอสไอ-ป.ป.ส.โชว์ผลงานลุยจับแก๊งยาเสพติดเหนือจรดใต้ โดยที่เชียงรายร่วมกับหน่วยดีอีเอของสหรัฐทลายเครือข่าย 'อาหลง'แก๊งเฮโรอีนรายใหญ่ในภาคเหนือ ยึดทรัพย์มหึมากว่า 40 ล้านบาท ด้านป.ป.ส.โชว์ผลงานรวบตัว'มะรอนิง จาโก' พ่อค้ายาคนสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยึดทรัพย์ได้อีก 35 ล้าน ชี้มีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบด้วย ด้านผบ.เรือนจำคลองไผ่แถลงรวบตัวหนุ่มหัวหมอใช้'หนังสติ๊ก' ยิงส่งยาไอซ์ข้ามรั้วเข้าไปในคุก ขณะที่ตร.บุกค้นบ้านลูกชาย 'เกชา เปลี่ยนวิถี' อดีตดาวร้ายชื่อดัง พบเป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาไอซ์กัญชา จึงจับกุมดำเนินคดีทั้ง 2 คน สารภาพรับเสพจริงแต่อ้างเล่นเพื่อคลายเครียด

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ก.พ. ร.ต.อ.ทศพล จันทรสูตร รอง สว.สส.กก.ตปพ. พร้อมด้วยร.ต.ท.ชูชีพ วงศ์บุญเพ็ง รอง สว.สส.กก.ตปพ. และกำลังจำนวนหนึ่งนำหมายค้น เลขที่75-77 ศาลอาญารัชดาฯ เข้าตรวจค้นบ้าน 3 หลังเลขที่ 282/33, 282/34, 282/35 ใน ซ.ลาดพร้าว87 แยก 6 แขวงคลองเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กทม. ภายหลังจากได้รับข้อมูลว่ามีคนเสพยาเสพติดภายในบ้านดังกล่าว ตรวจสอบพื้นที่ภายนอกเป็นบ้านเดี่ยว 3 หลังปลูกติดกันกินเนื้อที่ประมาณ 400 ตารางวา มีรั้วรอบขอบชิดหน้าบ้านติดตั้งกล้องวงจรปิด เมื่อถึงเวลานัดหมายเจ้าหน้าที่จึงบุกเข้าตรวจค้นพร้อมกันทั้ง3 จุด

จุดแรก บ้านแรกที่ 282/33 ของนายเรชาเปลี่ยนวิถี อายุ 45 ปี พบของกลาง ได้แก่ยาไอซ์ 1 กรัม กัญชา 1 ห่อเล็ก ยาเส้น และอุปกรณ์เสพ บ้านหลังสอง เลขที่ 282/34 เป็นของนายเดชา เปลี่ยนวิถี อายุ 46 ปี ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ส่วนหลังที่สาม เลขที่ 282/35 พบนายเมชา เปลี่ยนวิถี อายุ 47 ปี และน.ส.อำภา ประสมศักดิ์ อายุ 31 ปี แฟนนายเมชาอยู่ในลักษณะคล้ายคนเมา จากการตรวจค้นห้องรับแขกชั้นล่างพบของกลาง ยาไอซ์ 3 กรัมกัญชา 1 ห่อเล็ก ยาเส้น เครื่องชั่ง และอุปกรณ์เสพ นอกจากนี้ ตรวจสอบห้องพักชั้นล่างพบปิดผ้าม่านทึบและติดกระจกดำ มีชุดเครื่องเสียงเครื่องเล่นเกม และมอนิเตอร์ดูกล้องวงจรปิด

หลังการตรวจค้น นายเมชาให้การยอมรับว่าเสพยาไอซ์มา 1 ปีกว่าเพื่อคลายเครียด แต่นานๆ ครั้งถึงจะสั่งมาเสพ โดยไปรับยาที่ห้างบิ๊กซี ซื้อในราคากรัมละ 2,500 บาทแล้วเอามาเสพเล่นกันในกลุ่มพี่น้องและแฟน ส่วนเครื่องชั่งใช้ชั่งยาว่ามีปริมาณตรงตามที่สั่งหรือไม่เบื้องต้นทางตำรวจแจ้งข้อหานายเมชามียาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อเสพ (ยาไอซ์) ประเภทที่ 1 และมียาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อเสพ (กัญชา) ประเภทที่ 5 ส่วนนายเรชาและน.ส.อำภาแจ้งข้อหาเสพยา

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.พเยาว์ทองเสน ผอ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานป.ป.ส. และหน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย(ดีอีเอ) ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย เป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่ภาคเหนือ "แก๊งอาหลง" ทราบชื่อ นายดาวชัย ภู่วิจิตรถาวรชัยอายุ 48 ปี ชาวจีนฮ่อ และนางประณิพร ภู่วิจิตรถาวรชัย อายุ 35 ปี

เจ้าหน้าที่จับกุมตัวบุคคลทั้งสองได้ที่บ้านเลขที่ 134/14 หมู่ 9 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สายจ.เชียงราย และตั้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และตรวจยึดอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามมาตรการยึดทรัพย์ ประกอบด้วยหินขาวหรือหยกขาว ทั้งที่แกะสลักเป็นพระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอิม มีมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท,โรงงานแกะสลักหินขาว 2 แห่ง, บ้านพร้อมที่ดินในตัวเมืองแม่สาย 3 หลัง และบ้านพร้อมที่ดินบนภูเขานอกเมืองแม่สาย 3 หลัง, รถยนต์ 2 คันและทองรูปพรรณหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า40 ล้านบาท เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ

พ.ต.อ.ญาณพลเปิดเผยว่า ปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากดีเอสไอร่วมกับดีอีเอสืบสวนเครือข่ายดังกล่าว โดยส่งสายลับเข้าแฝงตัวนานกว่า 2 ปี จนได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาซื้อขายยาเสพติด หลังจากนั้นสายลับวางแผนกับเจ้าหน้าที่ล่อซื้อเฮโรอีนจากผู้ต้องหาด้วยเงิน 4 แสนบาท และกำลังจะวางแผนล่อซื้อยาล็อตใหญ่ แต่ปรากฏว่าช่วงนี้มีการปราบปรามยาเสพติดอยู่ ทำให้ผู้ต้องหาเพิ่มความระมัดระวังตัว ทางดีเอสไอจึงตัดสินใจขอศาลออกหมายจับนายดาวชัยและพวกทันที โดยใช้หลักฐานเดิมขณะนายดาวชัยเดินทางมารับเงินค้ายาจากสายลับ เพราะหากช้าเกรงว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเทยาหลบหนีได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ดีเอสไอขยายผลนำกำลังบุกเข้าตรวจค้นคอนโดมิเนียมของนายดาวชัย ซึ่งเปิดเป็นบริษัทรับแกะสลักหินขาวจากพม่าบังหน้า ภายในซอยประชาราษฎร์ 18 ถนนรัชดาฯ เบื้องต้นพบชายชาวจีนฮ่อ 1 คนอยู่ในห้อง แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายจึงปล่อยตัวไป

ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ภาค 9 จ.สงขลา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการป.ป.ส. นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิตรองเลขาธิการป.ป.ส. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองผบ.ตร. พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดาผบช.ภาค 9 และพล.ต.ท.ไพทูรย์ ชูชัยยะผบช.ศชต. ร่ามกันแถลงข่าวจับกุมนายมะรอนิงจาโก ที่อยู่ตามบัตรประชาชนอาศัยอยู่บ้านเลขที่3/5 ม.9 ต.ตะลุโบะ อ.เมือง จ.ปัตตานี นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมยึดของกลาง อาทิ อาวุธปืนสงครามธนบัตร และเครื่องกระสุน

พล.ต.อ.อดุลย์เผยว่า สำนักงานป.ป.ส.สอบขยายผลเครือข่ายนี้ กระทั่งยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 35 ล้านบาท ประกอบด้วย รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 325 ป้ายแดง, บ้านเลขที่89/207 หมู่บ้านวรารมย์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี, รถยนต์โตโยต้า รุ่นยาริส, บ้านเลขที่80/1 ม.3 ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส, รถยนต์อีซูซุ, รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า 2 คันและจักรยานยนต์ฮอนด้า 2 คัน รวมทั้งทรัพย์สินเงินสด 10,609,800 บาท ธนบัตรมาเลเซีย17,433 ริงกิต รถยนต์อื่นๆ อีก 7 คัน จักรยานยนต์อีก 3 คัน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 3 รายการ ทองรูปพรรณและเครื่องประดับ 23 รายการและปืน 2 กระบอก

ส่วนกรณีนายถิรชัย วุฒิธรรม เลขานุการรัฐมนตรียุติธรรม และนายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงว่ามีนโยบายมาตรการเชิงรุกแก้ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ4 ระยะ รวมถึงสร้างเรือนจำแห่งใหม่เรียกว่าเรือนจำความมั่นคงสูงสุด หรือ "ซูเปอร์แม็กซ์"สำหรับคุมขังผู้ต้องขังคดียาเสพติดรายสำคัญและเตรียมของบประมาณ 2-3 พันล้านบาทจากรัฐบาลเพื่อสร้างคุกดังกล่าว

ล่าสุด ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงการที่กระทรวงยุติธรรมเตรียมเสนอครม. ของบฯเพื่อสร้างเรือนจำซูเปอร์แม็กซ์ว่า ต้องดูตามความจำเป็น เข้าใจว่าเรื่องเรือนจำมีข้อจำกัดในการคุมขัง แต่ต้องดูว่ารายละเอียดโครงการจะเป็นอย่างไร เพราะปัญหาไม่ได้มีเรื่องสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่ตัวเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด การคิดถึงแต่เงินเป็นตัวตั้งและจัดสรรงบฯ อย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้

"นี่คือสิ่งที่เรากังวล เพราะถ้ารัฐบาลมองทุกอย่างว่าเงินเป็นตัวตั้งแล้วจะแก้ปัญหาได้มันไม่ใช่ การแก้ปัญหายาเสพติดถ้ามุ่งเฉพาะการปราบปรามเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ปัญหาอย่างครบวงจรได้ ถ้าจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนการทำงานในชุมชนต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่เพราะขณะนี้เริ่มมีกระแสข่าวว่าจะมีการวิสามัญฯ เพื่อสะสมแต้มสร้างผลงานในคดีปราบยาเสพติด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีต้องออกมาส่งสัญญาณให้ชัดเพื่อลดความรุนแรงและความขัดแย้งในสังคมตนเป็นห่วงเรื่องนี้เพราะรู้ว่านักการเมืองบางคนคิดว่าวิธีนี้หาเสียงง่าย เล่นกับความสะใจกับอารมณ์ของประชาชน รัฐบาลชุดนี้ควรใช้ความผิดพลาดในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ มาเป็นบทเรียน

น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงถึงกรณีสภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ พบยาเม็ดสีขาว ซึ่งอาจเป็นยาบ้าชนิดใหม่ว่า จากการตรวจสอบยาแผนปัจจุบัน วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และกลุ่มยาเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานอย.ทั้งหมด ไม่พบว่ามียาชนิดใดที่เข้าข่ายยาเม็ดดังกล่าว และยังพบว่าไม่เหมือนกับยาที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศอีกด้วย ส่วนจะเป็นยาที่มีสารชนิดใด หรือเป็นสารโคเดอีน ซึ่งจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 หรือไม่นั้นยังไม่ทราบชัดเจน ต้องรอผลตรวจสอบจากแล็บกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน

ด้านน.พ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณีพบยาเม็ดสีขาวดังกล่าวว่าผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นโคเดอีน ไม่ใช่สารเสพติดตัวใหม่ ส่วนผลการทดสอบอย่างละเอียดว่า มีการปลอมปนสารอื่นหรือไม่ยังต้องรอผลการทดสอบ

ทั้งนี้ โคเดอีนเป็นสารที่ผลิตมาจากฝิ่น อยู่ในกลุ่มเดียวกับมอร์ฟีน เฮโรอีน ซึ่งโคเดอีนมักจะผสมอยู่ในยาแก้ไอ แต่ยาเม็ดโคเดอีนจะไม่สามารถนำไปผลิตเป็นยาเสพติดชนิดรุนแรงกว่าเช่น มอร์ฟีน หรือ เฮโรอีนได้ เพราะมีกรรมวิธีสกัดที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม โคเดอีนมีฤทธิ์กดประสาทและสมองเช่นเดียวกับยาเสพติดชนิดอื่นๆ

"คาดว่าการสกัดโคเดอีนให้เป็นประเภทเม็ดสีขาว เป็นกลวิธีหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติดที่ใช้หลบเลี่ยงการจับกุม เนื่องจากโคเดอีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 3 ต่างจากเฮโรอีนที่จัดเป็นยาเสพติดร้ายแรง จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 หากผู้ใดครอบครองจะมีโทษรุนแรง" น.พ.นิพนธ์กล่าว

วันเดียวกัน นายคงกริช พรคงธวัช ผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และนายตำรวจระดับสูง เปิดแถลงข่าวการจับกุมนายเปรมประชา บุญจันทึก หรือนายเป้ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาคดีลักลอบส่งยาเสพติดเข้าไปในเรือนจำคลองไผ่ ยึดของกลางยาไอซ์ที่ถูกกระดาษกาวพันเป็นลูกบอลขนาดเล็ก 10 ลูกน้ำหนักรวมประมาณ 25 กรัม และหนังสติ๊ก 1 อัน โดยผู้ต้องหาถูกจับกุมตัวช่วงเย็นวันที่ 1 ก.พ.บริเวณป่าละเมาะข้างกำแพงเรือนจำคลองไผ่

นายเปรมประชารับสารภาพว่า ร่วมกับเพื่อนที่ยังหลบหนีอีกหนึ่งคน พยายามลักลอบส่งยาไอซ์เข้าไปในเรือนจำกลางคลองไผ่ โดยเพื่อนคนดังกล่าวได้รับการว่าจ้างจากชายไม่ทราบชื่อให้ใช้หนังสติ๊กยิงส่งของกลางยาไอซ์ดังกล่าวเข้าไปในเรือนจำกลางคลองไผ่ ซึ่งเมื่อส่งยาไอซ์เข้าไปแล้วจะมีนักโทษด้านในคอยรอรับแต่ขณะที่ผู้ต้องหากำลังนั่งรอเวลาส่งยาเสพติดอยู่ในป่าละเมาะข้างกำแพงเรือนจำ ปรากฏว่าตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 ซึ่งออกปฏิบัติหน้าที่ขับรถตรวจตราความเรียบร้อยผ่านไปพบเห็นผู้ต้องหาพอดีตำรวจจึงขอค้นตัวจนพบของกลางทั้งยาเสพติดและหนังสติ๊กดังกล่าว

นายคงกริชระบุว่า เบื้องต้นเชื่อว่านายเปรมประชา ผู้ต้องหารายนี้น่าจะถูกว่าจ้างจากเครือข่ายนักโทษยาเสพติดภายในเรือนจำกลางคลองไผ่และน่าจะเป็นเครือข่ายเดียวกันกับที่เคยถูกจับได้ก่อนหน้านี้หลายครั้ง

ผบ.เรือนจำกลางคลองไผ่เผยอีกว่า ปัจจุบันทางเรือนจำมีนักโทษชายถูกคุมขังอยู่รวมกันประมาณ 3,000 คน จากการตรวจสอบพบว่านักโทษชายกว่า 50 รายมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด หรือที่พวกนักโทษด้วยกันเรียกว่า "นักโทษนินจา" โดยนักโทษกลุ่มนี้มีพฤติกรรมลักลอบติดต่อกับบุคคลภายนอกเพื่อค้ายาเสพติด ซึ่งเรือนจำกลางคลองไผ่ได้รวบรวมรายชื่อนักโทษกลุ่มนี้ทั้งหมดเพื่อส่งไปให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาส่งตัวย้ายไปคุมขังที่เรือนจำเขาบิน จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นเรือนจำที่เตรียมใช้เป็นจุดคุมขังนักโทษคดียาเสพติดรายใหญ่แล้ว

ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายอำพล สังข์ทองหน.ชุดเฉพาะกิจศรีวิชัย ภายใต้การสนับสนุนจากนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผวจ.นครศรีธรรมราชสืบทราบว่านายป๊อก ไม่ทราบชื่อและนามสกุลอยู่บ้านเลขที่ 153/50 ซอยชลธิชา ต.ในเมืองอ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เป็นเอเยนต์ค้ายาไอซ์รายใหญ่ในเขต อ.เมือง โดยมีเครือข่ายสั่งการโยงใยจากนักโทษในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช จึงส่งสายสืบเข้าล่อซื้อยาไอซ์จากนายป๊อก2 กรัม ราคา 7 พันบาท

เมื่อถึงเวลานัดหมายนายป๊อกนำยาเสพติดมาส่งให้สายสืบ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมทันทีจากนั้นคุมตัวไปตรวจค้นบ้านพักพบยาไอซ์บรรจุถุง มีน้ำหนักแตกต่างกันรวม 13 ถุงมูลค่านับแสนบาท และยาบ้าบรรจุถุงรวมแล้วราว 450 เม็ด

นายอำพล หน.ชุดเฉพาะกิจศรีวิชัย เปิดเผยว่า ผลการควบคุมตัวนายป๊อกไปขยายผล ผู้ต้องหารับสารภาพว่าสั่งซื้อยาบ้าและยาไอซ์มาขายต่อให้กับลูกค้าจำนวนมาก และสั่งยาจากเอเยนต์รายใหญ่ที่เป็นนักโทษคดียาเสพติดในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช คาดว่าหลังจากนี้จะตามจับผู้ต้องหาได้เพิ่มขึ้นแน่นอน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติดใน จ.นครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่ใช้วิธีโทรศัพท์สั่งซื้อยาเสพติดผ่านเอเยนต์ที่เป็นนักโทษ หรือเป็นผู้ต้องขังอยู่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช แต่เจ้าหน้าที่กลับแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้