การวางแผนที่จะมีลูกเติมเต็มชีวิตครอบครัวให้สมบูรณ์นั้น นอกเหนือจากความรักของคนสองคนแล้ว สิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม ก็คือการตรวจสุขภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย เนื่องจากโรคร้ายอาจแอบแฝงอยู่ในร่างกาย โดยที่ ไม่แสดงอาการ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะ ตามมา จึงควรตรวจสุขภาพก่อนการมีลูก เพื่อสร้างความมั่นใจ

          นพ.พิเชฐ ผนึกทอง สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดเผยว่า ของขวัญอันมีค่าสำหรับคนเป็นพ่อแม่ คือการที่ลูกเกิดมาแล้วมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เป็นโรค การเริ่มต้นก่อนการมีลูก เราจึงควรที่จะวางแผนให้ดี และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อนำผลเลือดที่ได้มาวิเคราะห์ หากเจอปัญหาจะได้หาทางแก้ไขได้ทันที

          รายการตรวจที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ การตรวจร่างกายโดยสูตินรีแพทย์ อย่างละเอียด (Physical Examination by OB-GYN) ตรวจหมู่เลือดและความเข้ากัน ได้ของเลือด (ABO and Rh Grouping) เพื่อให้ทราบหมู่เลือด ABO และหมู่เลือด Rh+ ซึ่งพบได้บ่อยในคนไทย แต่บางคนอาจมีหมู่เลือด Rh- ซึ่งหาได้ยาก ต้องมีการสำรองเลือดเพื่อความปลอดภัย และหมู่เลือด Rh- จะ ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 ทำให้เสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูง

          ตรวจหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เป็นการหาความเข้มของเลือด ซึ่งในผู้หญิงไทยพบว่า การทานอาหารแบบเร่งด่วนส่งผลให้ภาวะซีดสูงขึ้น ซึ่งควร เพิ่มความเข้มของเลือดโดยการทานธาตุเหล็กบำรุงก่อนตั้งครรภ์ เพื่อพัฒนาการ ที่ดีของบุตรในครรภ์ และทราบถึงปริมาณเกล็ดเลือด ส่งผลต่อการห้ามเลือดตอนคลอดบุตร

          ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และภูมิคุ้มกัน (HBs Ag and anti-HBs) ตรวจหาภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือสายเลือด จึงอาจส่งผลต่อการมี ลูกในครรภ์

          ตรวจหาความเสี่ยงโรคธาลัสซีเมีย (Hemoglobin Typing) หาความผิดปกติทางพันธุกรรม เพื่อให้ทราบว่าคู่สมรสนั้นมีความเสี่ยงที่จะมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ และจะมีทางเลือกอย่างไรบ้างในการมีบุตร และหาแนวทางในการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ

          ตรวจหาเชื้อเอดส์ (Anti HIV) หาเชื้อเพื่อจะได้ป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวางแผนลดการติดเชื้อไปสู่บุตรได้

          ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน (Rubella for immune status)

          ตรวจเพื่อค้นหาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสหัดเยอรมันในสตรี ซึ่งผลการตรวจพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรฉีดวัคซีนและคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือน

          ก่อนตั้งครรภ์ เนื่องจากหากติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ อาจมีโอกาสที่ทารกจะพิการหรือแท้งสูง

          คุณพ่อคุณแม่ที่ปรารถนาจะมีลูก แต่รู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัว หรือและคิดว่าความเสี่ยงของโรคจะมากขึ้นหากตั้งครรภ์ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อแน่ใจว่าร่างกายจะเหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์