"เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่องในคน ส่วนโรคเอดส์ หมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ได้เป็นแต่ กำเนิด ปัจจุบันนี้การติดเชื้อเอชไอวีและ โรคเอดส์ยังเป็นปัญหาสาธารณสุข ที่สำคัญของโลกและประเทศไทย" รศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายเบื้องต้น
การติดต่อของโรคที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ ทางเพศสัมพันธ์ทั้งที่เป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ การใช้ เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงการสัก และจากมารดาสู่ทารก หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวีในช่วงแรก ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด และจะเข้าสู่ระยะติดเชื้อที่ไม่มีอาการ แต่เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการแบ่งตัวตลอดเวลาจึงทำให้เม็ดเลือดขาวซีดี 4 ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคลดต่ำลงไปเรื่อยๆ
จากนั้นจะเข้าสู่ระยะมีอาการ เช่น น้ำหนักลด ฝ้าขาวในปาก ท้องเสียเรื้อรัง หรือมีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา และระยะสุดท้าย คือ เอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่เม็ดเลือดขาวซีดี 4 ต่ำมากและหรือมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน เช่น วัณโรคหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ซึ่ง 2 ระยะหลังนี้ ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี
หัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี การใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดรวมกันเป็นสูตรยาที่เหมาะสมและถูกต้อง ทำให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้นหรือจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดี 4 สูงขึ้น มีอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสลดลง อัตราตายลดลงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ที่กินง่าย มีผลข้างเคียงน้อย ราคาถูกลง รวมไปถึงมีการพัฒนารูปแบบยาให้เป็นแบบฉีดและออกฤทธิ์ได้นาน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัย ที่จะพยายามทำให้โรคหายขาด ตอนนี้มีอยู่ 2 หลักการ คือ การรักษาเร็วตั้งแต่ที่มีการติดเชื้อใหม่ๆ และการปลูกถ่ายไขกระดูก
ส่วนวิธีที่ยังมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ คือ การใช้ถุงยางอนามัย การให้ยาต้านเอชไอวีแก่มารดาที่ติดเชื้อและการให้ยาในเด็กทารกแรกเกิด เป็นต้น
"การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ รวมไปถึงการวิจัยที่จะทำให้การรักษาเป็นแบบหายขาด"