เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่กรมควบคุมโรค นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดในปี 2561 ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ปกติระบาดในช่วงฤดูฝน แต่ปีนี้ฝนตกทุกเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 พฤษภาคม มีผู้ป่วย 13,164 ราย คิดเป็นอัตราป่วยอยู่ที่ 20 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 19 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 0.14 เฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา พบอัตราผู้ป่วยสูงเกินค่ากลางของอัตราป่วยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ยิ่งเข้าหน้าฝนกันเต็มรูปแบบทั้งประเทศน่าเป็นห่วงคาดว่าจากนี้จะมีผู้ป่วยมากถึงเดือนละ 1 หมื่นราย ในทุกภูมิภาคของประเทศ
          นพ.สุวรรณชัยกล่าวต่อว่า ที่สำคัญในจำนวน 19 รายที่เสียชีวิตเป็นเด็กโต ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ถึง 12 ราย แบ่งเป็นคนอ้วน 7 ราย ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 3 ราย ความดันโลหิตจาง 3 ราย สูงอายุ 4 ราย และเด็กโต 2 ราย เป็นการตายด้วยภาวะที่ค่อนข้างรุนแรงคือช็อก อวัยวะล้มเหลว เช่น ตับวาย ไตวาย ภายใน 7-8 วัน เพราะมาพบแพทย์ช้า หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออกช้า นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างสอบสวนสาเหตุอีก 6 ราย แต่ลักษณะการเสียชีวิตเหมือนมีภาวะช็อกและอวัยวะล้มเหลว ถ้ามองสถานการณ์ปีนี้แล้วเรื่องอัตราป่วยไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาคือพอป่วยแล้วแถมยังมีอัตราตายสูงขึ้นด้วย สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนเสียชีวิต 4 ราย ย้อนหลังกลับไปอีก 1 สัปดาห์ เสียชีวิตไป 3 ราย ทางกรมจึงเปิดศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (EOC) ช่วยกันเฝ้าระวังชนิดที่ต้องห้ามกะพริบตา
          นพ.สุวรรณชัยกล่าวอีกว่า ขอเตือนหากมีไข้สูง 2 วันแล้วไข้ไม่ลดให้สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกรีบไปพบแพทย์ อย่าซื้อยากินเองโดยเฉพาะยากลุ่มเอ็นเสด ไอบูโพรเฟน ทำให้เกิดภาวะเลือดออกเฉพาะที่ได้ ส่วนแพทย์เจอผู้ป่วยในลักษณะนี้ให้สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกและตรวจละเอียด ต้องยอมรับว่าในกรณีเป็นในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วแพทย์อาจจะไปนึกถึงภาวะโรคเดิมที่เป็นอยู่ ที่ผ่านมาหลายคนยังไปมองว่าเป็นโรคในเด็กเวลาผู้ใหญ่ป่วยเลยนึกไม่ถึงกัน โรคนี้เกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการที่รุนแรงมักพบในการติดเชื้อครั้งที่ 2