นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้อากาศหนาวเย็นขึ้น รวมทั้งมีฝนตกสลับกัน โรคที่สามารถพบบ่อย คือ โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หรือหลอดลมอักเสบ โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ฯลฯ มีสาเหตุมาจากรับเชื้อไวรัสที่สามารถเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ปาก และตาได้โดยง่าย เชื้อชนิดนี้มักอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยที่ไอ จาม และอาจติดอยู่กับภาชนะหรือพื้นผิวที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยได้ สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสถานที่ที่มีคนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวกโดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บหรือแสบคอ อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
"สำหรับในรายที่เป็นไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการรุนแรงกว่า คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อ และมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงทั้งเด็กเล็กผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว เนื่องจากกลุ่มนี้มีภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนปกติ จึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด หากเริ่มมีอาการไม่สบาย เป็นไข้หวัดให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ให้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นๆ บ่อยๆ หากตัวร้อนมากให้กินยาลดไข้ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือถ้าอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการไอมากขึ้น แน่นหน้าอก มีไข้นานเกิน 2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที" นพ.ณรงค์กล่าว และว่า ควรหมั่นดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ สวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในแต่ละวัน ควรงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ลดหวาน มัน เค็ม ปรุงอาหารให้สุกก่อนการบริโภค ดื่มน้ำสะอาด และกินผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอสุก สับปะรด ล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลทำความสะอาดทุกครั้ง ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน เล่นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น |