เมื่อวันที่ 11 พ.ย. นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงการกลั่นแกล้งหรือรังแกกันในโรงเรียนที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งในช่วงนี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการรังแกทางกาย ทางอารมณ์ เช่น ล้อเลียน ทำให้อับอาย กีดกันออกจากกลุ่ม การเพิกเฉย การรังแกทางคำพูด เหยียดหยาม ดูถูก รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียรังแกกันนั้นจัดเป็นพฤติกรรมรุนแรงอย่างหนึ่ง จะทำให้เด็กที่ถูกรังแกมีอารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล เพิ่มความรู้สึกโดดเดี่ยว การกินการนอนผิดปกติ ไม่มีความสุขในการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้ ปัญหานี้อาจยังคงอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่และอาจมีอาการทางกาย เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ รวมถึงผลการเรียนลดลง หรือต้องออกจากโรงเรียน และยังมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นผู้รังแกคนอื่นในอนาคต ส่วนเด็กที่ชอบรังแกเด็กคนอื่นนั้น มีความเสี่ยงใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเมื่อเป็นวัยรุ่น เสี่ยงเป็นผู้สร้างความรุนแรงในสังคม ครอบครัวและทำผิดกฎหมายในอนาคต
ด้าน พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งน่าจะมีมาก่อนโดยที่ครูไม่ทราบเด็กที่รังแก อาจมีปัญหาสุขภาพจิต เช่น เกเร ดื้อ ต่อต้าน มีพฤติกรรมจุดไฟ การเลี้ยงดูปล่อยปละละเลย เสพสื่อรุนแรง อยากรู้อยากลอง ครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรอบรมสั่งสอนเด็กให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ สิ่งไหนห้ามทำสังคมไม่ยอมรับ มีการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะก่อนอายุ 10 ขวบ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความยับยั้งชั่งใจ แยกผิดชอบชั่วดีได้ ลดพฤติกรรมการเลียนแบบที่อาจทำให้เกิดความชินชากับความรุนแรงได้ ในขณะเดียวกันต้องสอนให้เด็กรู้วิธีป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกลั่นแกล้ง เช่น รู้จักที่จะบอกครู ไม่อยู่ลำพัง ไม่ตอบสนองฝ่ายที่ชอบกลั่นแกล้ง เป็นต้น เมื่อเกิดปัญหาต้องมีกระบวนการช่วยเหลือเด็กอย่างเข้มแข็ง. |