เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ช่วงอากาศหนาวเย็น โรคที่เป็นห่วงและมักพบมากขึ้นในฤดูหนาวคือ โรคปอดบวม เกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย จากรายงานของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในรอบ 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-19 ตุลาคม 2557 ทั่วประเทศ มีประชาชนป่วยเป็นโรคปอดบวม 159,574 ราย กลุ่มที่พบว่าป่วยสูงที่สุดคือ กลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี 47,931 ราย คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้ป่วยทั้งหมด รองลงมาพบในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี 17,193 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 753 ราย พบใน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 59 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด อัตราป่วยสูงสุดพบที่ภาคเหนือ 299 คนต่อ 1 แสนประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 293 คนต่อ 1 แสนประชากร
นพ.ณรงค์กล่าวว่า โรคปอดบวมส่วนใหญ่มักเกิดตามมาหลังจากป่วยเป็นไข้หวัด จึงควรนอนพักผ่อนให้มากๆ อาจกินยาลดไข้และเช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา อาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่หากไข้ยังสูงเกิน 2 วัน ไอมาก เจ็บหน้าอก หายใจลำบากหรือใช้แรงในการหายใจมาก น้ำมูกเปลี่ยนสีจากเหลืองอ่อนๆ เป็นเขียว ขอให้สงสัยว่าอาจมีโรคปอดบวมแทรกซ้อน ต้องรีบพบแพทย์ ในกรณีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หากป่วยเป็นไข้หวัดให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ให้เด็กดื่มน้ำหรือนมบ่อยๆ นอนให้เพียงพอ กินอาหารที่ย่อยง่าย เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำธรรมดา และให้กินยาลดไข้ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ไข้จะลดลงและหายป่วยประมาณ 1 สัปดาห์ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วัน หรือมีอาการซึมลง ไม่กินน้ำหรือนม มีไข้สูง ไอ หายใจผิดปกติ เช่น หายใจหอบเร็ว หรือหายใจมีเสียงฮื้ดหรือเสียงหวีด หายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม เป็นสัญญาณของโรคปอดบวม ให้รีบพาไปพบแพทย์