เป็นเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งกินและฉีดยา "กลูต้าไธโอน"จนถึงขั้นตับพัง หายใจเองไม่ได้
จริงๆ ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยบ่อยครั้ง แต่กระแสฉีดสารทำให้ผิวขาวก็ยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทย ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะในทางการแพทย์กลูต้าไธโอนเป็นยา "อันตราย" และล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขประกาศ "ห้ามไม่ให้แพทย์ใช้" การรักษาด้วยวิธีนี้ ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกายที่สามารถสร้างขึ้นเองจากอาหาร ประเภทโปรตีน ไข่ และนม รวมถึงผลไม้ประเภทอะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ สามารถพบได้ทุกเซลล์ในร่างกาย
"ผลข้างเคียงที่น่ากลัวคือ การฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำมีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้สารกลูต้าไธโอนเอง หรืออาจจะแพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย หรือสารปนเปื้อน ทั้งนี้ มีรายงานในต่างประเทศว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนมากจนเกินไป จะเกิดอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที"
ซึ่งปัจจุบันมีการลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย พบยาปลอมที่ผลิตในประเทศเวียดนามและจีน
"การที่ได้รับสารกลูต้าไธโอนเป็นเวลานานๆ จะทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลงเสี่ยงต่อการมองเห็น มีผลต่อแร่ธาตุในกระบวนการเมตาบอลิซึม และยังอาจกลายเป็นอนุมูลอิสระมาทำร้ายร่างกายได้"
ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศห้ามแพทย์ใช้การรักษาด้วยวิธีนี้
"ไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจจะช่วยได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็จะผลิตเม็ดสีตามปกติ"
ผศ.พญ.สุวิรากรย้ำว่า การที่คนในแถบเอเชียมีผิวคล้ำถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ขาวผิดธรรมชาติ
"ขอเตือนว่ากลูต้าไธโอนเป็นยาที่มีอันตรายมาก การเสริมสวยไม่มีความจำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับความเป็นความตายเพื่อแลกความขาวของสีผิว โดยความขาวดังกล่าวก็ไม่ยั่งยืนอะไร พอสารหมดฤทธิ์แล้วสีผิวก็จะกลับมาเป็นอย่างเก่า ส่วนสารที่กินหรือฉีดเข้าไปก็ยังคงตกค้างในร่างกายตลอดไปด้วย"
หากต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับสารที่ทำให้ผิวขาว สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย www.dst.or.th