หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ [ วันจันทร์ ที่ 18 เดือนตุลาคม 2553 ]
คนขายยา ขอท้ามัจจุราช


ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย คุณจะทำอย่างไร ยอมรับโชคชะตาที่ลิขิตมา หรือลุกขึ้นสู้เพื่อยื้อชีวิตไว้ให้อยู่ต่อไป เขาเคยเป็นชายหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย ขับรถไปทำงานกรุงเทพฯ นครปฐม ขอนแก่น อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร เป็นว่าเล่น เปลี่ยนรถไปแล้วไม่รู้กี่คัน

อภิรมย์ วงศ์จิระกิจ ดีเทลยามือหนึ่งประจำห้างขายยาตราเจ็ดดาว ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายยาจากประเทศญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งมีโรงงานผลิตยาสามัญในประเทศ รับหน้าที่เป็นผู้จัดการคอยดูแลพื้นที่ขายยาในโรงพยาบาลแถบอีสานมากว่า 29ปี แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนโลกเล่นตลกกับคนขายยา ร่างกายเขาเริ่มแสดงอาการอิดโรย อ่อนเพลียจนต้องหายใจทางปาก เวลาหายใจมีเสียงสะอื้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจที่ตรวจร่างกาย ปล่อยให้เจ้าเนื้อร้ายที่เกิดขึ้น กัดกินแทรกซึมไปยังร่างกายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนกระทั่งร่างกายส่งสัญญาณเตือนภัยครั้งสุดท้าย

“คืนหนึ่งผมปัสสาวะบ่อย 4-6 ครั้งมีสีส้มเข้มผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรผิดปกติ แถมน้ำหนักตัวลดลงถึง 13 กิโลเลยตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งแล้วหมอ บอกว่า เป็นมะเร็งตับ จำได้ว่า ตกใจ ” อภิรมย์ ดีเทลยาวัย 53 เล่า เขายังจำได้ทุกคำที่หมดพูดกับเขาราวกับฉากในละครว่า "หมอเสียใจด้วยที่ต้องบอกคุณว่า คุณเป็นมะเร็งตับ จากผลการตรวจพบว่าตับถูกทำลายไปแล้ว 80%" เขานั่งนิ่งพักใหญ่ พอได้สติขึ้นจึงถามหมอว่า “ผมสามารถมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไร”แพทย์เงยหน้าจากฟิล์มเอ็กซ์เรย์แล้วตอบว่า “จากประสบการณ์ในการรักษาคนไข้จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 5-6 เดือน “ ทันทีที่เรียกสติกลับคืนมาได้ครบถ้วน อภิรมย์ เตรียมปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำเลยในชีวิต เริ่มตั้งแต่การโอนทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับภรรยา ลูก 2 คนที่อยู่ขอนแก่น พร้อมกับแจ้งให้ครอบครัวญาติพี่น้องรับทราบถึงอาการเจ็บป่วยของตนเอง จากนั้นเข้ารับการรักษาโดยการฉีดเคมีบำบัดเข้าเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขาถึง 4 ครั้ง

“เข็มที่4 หลังจากฉีดเสร็จผมหนาวถึงกระดูด ห่มผ้าห่มกี่ผืนไม่พอตอนนั้นคิดว่าไม่รอด พอฟื้นขึ้นมาได้เหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ มันทำให้ผมไม่กลัวตายอีกต่อไป แต่ยังไม่ได้อยากตาย”

ปฏิบัติการยื้อชีวิตของดีเทลยาวัย 53 ปี จึงยังไม่จบลงแค่นี้ เมื่อได้รับคำแนะนำจากดีเทลยาหนุ่มรุ่นน้องให้ลองกินยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงไปยังเซลส์มะเร็ง และยับยั้งเลือดที่ส่งไปเลี้ยงยังเซลล์มะเร็งในลักษณะการรักษาแบบพุ่งเป้าเพื่อช่วยยื้อชีวิต สนนราคาตกเม็ดละ 1,600 บาท วันหนึ่งต้องกิน 4 เม็ด เท่ากับจ่ายวันละ 6,400บาท ยาหนึ่งกล่องมีทั้งหมด 6 แผงแผงละ 10 เม็ดกล่องหนึ่งมี 60 เม็ด

"มันเป็นความหวังของผมในการระงับเนื้อร้ายลุกลาม ประคับประคองชีวิต แต่มันมีราคาแพงมาก ตั้งแต่ผมขายยามาจนอายุปูนนี้เพิ่งเคยเห็นยาราคาแพงขนาดนี้แถมยังต้องกินตลอดชีวิต แต่สำหรับผมมันคุ้มค่า ถ้ามันช่วยยืดเวลาให้ผมมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกๆ ได้ยินเสียงภรรยาแค่นี้ก็พอแล้ว" เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรเมื่อคนขายยาที่ต้องมาซื้อยาราคาแพงกิน เซลส์รุ่นใหญ่นิ่งไปสักพักแล้วบอกว่า “ผมก็ไม่เคยคิดนะว่าจะต้องมาซื้อยากินแบบนี้ แต่ก็เข้าใจว่า ต้นทุนการศึกษาวิจัยยาแต่ละตัวมีราคาแพงจะให้มาขายราคาถูกคงจะไม่ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้บริษัทยาลดราคาลงมา คนไข้ที่มีกำลังทรัพย์ไม่พอจะได้มีโอกาสเข้าถึงยาได้มากขึ้น“ สำหรับอภิรมย์ เขาถือเป็นคนโชคดีที่เจ้านายช่วยออกค่ารักษาพยาบาลในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา (เริ่มตั้งแต่มิถุนายน 2552 จนถึงเดือนกรกฏาคม 2553) หากดีดลูกคิดรางแก้วแล้วค่าใช้จ่ายในการยื้อชีวิตตกประมาณ 1.1 ล้านบาท นั่นรวมถึงค่ายาเม็ดละ 1,600 บาทเป็นระยะเวลา 3 เดือนเกือบ 600,000 บาท ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้เขาได้สิทธิกินฟรีตลอดชีวิต หรือตลอดเวลาการรักษาของโรค หรือจนกว่าแพทย์เห็นควรให้หยุดยา เนื่องจากเขาได้เข้าร่วมโครงการ “N-PAP” ซึ่งเป็นโครงการที่ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย และ บริษัทไบเออร์ ผู้ผลิตยาจัดทำขึ้นมาเพื่อต้องการช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับ โดยให้ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเขียนชื่อที่อยู่มาทางสถาบันมะเร็งเพื่อคัดเลือกผู้ป่วยที่มีความจำเป็นในการรักษาแต่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะรักษาในระยะยาว เพราะค่าใช้จ่ายตกประมาณ 2แสนบาทต่อเดือน ทั้งนี้ในการเข้าร่วมโครงการผู้ป่วยที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องซื้อยานี้เพื่อใช้ทำการรักษาเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อน หลังจากนั้นสามารถใช้ยาตัวนี้รักษาได้ฟรีตลอดชีวิต

วันนี้ อภิรมย์ ยังคงทำงานเป็นผู้จัดการเซลส์ขายยาในเขตอีสาน ขับรถไปกลับกรุงเทพ ฯ ขอนแก่น อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร และนครปฐมตามปกติ แม้ว่าครอบครัวจะเคยขอร้องให้หยุดทำงาน แต่เขาไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่า มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกว่า ตัวเองป่วย ไม่รู้สึกฟุ้งซ่าน แม้ว่าอาจมีอาการเหนื่อยหอบบ้างบางครั้ง

" ตอนนี้ผมทำงานเพื่อหาเงินมารักษาชีวิตตนเองจนนาทีสุดท้าย ผมบอกกับภรรยาและลูกนะว่า ถ้าโทรหาผมแล้ว 2 วันผมไม่ได้โทรกลับเตรียมจัดงานศพให้ผมได้เลย ไม่ต้องเสียใจนะ เพราะผมสู้มาจนถึงที่สุดแล้ว ถ้าเขา (มะเร็ง) อยากอยู่ต่อต้องอยู่ด้วยกันกับผม แต่ถ้าเขาจะให้ผมตายเขาจะต้องตามไปพร้อมกับผม" ดีเทลยา กล่าวด้วยเสียงมั่นคง




 










 


หน้าแรก | เกี่ยวกับแผนงาน | เครือข่ายและกิจกรรม | ผลผลิตและรายงาน | ข้อมูลสถิติ | การจัดการความรู้ | หน่วยงาน | ติดต่อแผนงาน | เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ
แนะนำแผนงาน | ข่าวกิจกรรม | เกาะติดกิจกรรมเด่น | หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ผลผลิตและรายงาน| รายงานสุขภาพ| ก้าวใหม่กับ HISO | สถานการณ์สุขภาพประเทศไทย
การวิเคราะห์สถานการณ์สุขภาพ | สถานการณ์ข่าวสุขภาพ | เรื่องเล่าข่าวสุขภาพ | สื่อข้อมูลสุขภาพ | แบบสำรวจสุขภาพ | webbord | คำถามที่พบบ่อย | สมุดเยี่ยมชม | บริการข้อมูล